วิธีคิดเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่า มีความสำคัญมากต่อการที่จะเป็นนักวิเคราะห์หุ้นแบบ Value Investment ที่ดีก็คือ
การคิดคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตแบบที่ใส่ "ความน่าจะเป็น" หรือ Probability เข้าไปด้วย
ลองมาคาดดูสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราก็จะพบว่ามีเหตุการณ์น้อยมาก หรือแทบไม่มีเลยที่มีความแน่นอน 100% โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้น แต่เหตุการณ์บางอย่างนั้นมักจะมีความ "แน่นอน" หรือมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงกว่าเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งมาก
โอกาสที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นในวันพรุ่งนี้เป็นเท่าไร? 100% ! โอกาสที่ฝนจะตกในวันพรุ่งนี้ที่กรุงเทพฯ และที่ถนนรางน้ำเป็นเท่าไร? นักพยากรณ์อากาศอาจจะบอกว่า 80% โดยพิจารณาจากภาพถ่ายของกลุ่มเมฆหนาที่ก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนือกรุงเทพฯ ในวันนี้
ถ้าถามใหม่ว่า ฝนจะตกไหมในอีก 7 วันข้างหน้า? คำตอบอาจจะเป็น 50-50 โดยที่นักพยากรณ์ไม่ได้ดูกลุ่มเมฆ แต่ดูว่าในช่วงฤดูฝนในประเทศไทยนั้น โอกาสที่ฝนจะตกในแต่ละวันคือ 50%
การพยากรณ์นั้น ดูเหมือนว่าถ้าพยากรณ์ในระยะเวลาสั้นๆ ในอนาคต โอกาสที่จะพยากรณ์ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงจะสูงกว่าการพยากรณ์อะไรที่อยู่ห่างออกไป เหตุผลก็คือ ในการพยากรณ์นั้น เรามักจะมีข้อมูลต่างๆ มาสนับสนุน เช่น กลุ่มเมฆที่ปรากฏขึ้น และเมฆนั้นเป็นตัวชี้ว่า ในไม่ช้ามันจะกลั่นตัวเป็นฝน
ถามว่า พรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือหุ้นจะลง? ข้อมูลที่มีอยู่ ก็คือ ราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นในวันนี้ ทั้งในตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มักจะเชื่อว่า ถ้าวันนี้หุ้นขึ้นแรงและมีปริมาณการซื้อขายมาก พรุ่งนี้ดัชนีหุ้นก็มักจะปรับตัวขึ้น
เขาอาจจะบอกว่า พรุ่งนี้หุ้น "น่าจะ" ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดแล้วหุ้นวิ่งขึ้น เพราะเขาเชื่อว่า หุ้นไทยมักจะปรับตัวขึ้นลงตามหุ้นนิวยอร์ก แต่ถ้าถามต่อไปว่า หุ้นขึ้นแล้วยังไง? เราจะเข้าไปซื้อหรือ? ถ้าซื้อก็แปลว่า เราซื้อแพง แล้ววันต่อไปมันลงเรามิขาดทุนหรือ?
ดังนั้น การคาดการณ์แบบนี้ แม้จะถูกแต่ก็ไม่มีประโยชน์ในการที่จะทำให้เราได้กำไรได้ และนี่ยังไม่ได้รวมถึงค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายที่อาจจะกินกำไรของเราไปอีก
นักลงทุนหลายคนกลัวไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ปี 2009 ดังนั้นเขาขายหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวออกหมด เพราะเขาคิดว่าถ้ามันลามไปมากๆ การท่องเที่ยวจะถูกกระทบหนัก คนจะไม่เดินทาง แต่ถามว่าโอกาสที่มันจะลามไปอย่างควบคุมไม่ได้นั้นมีกี่เปอร์เซ็นต์? เขาอาจจะไม่ได้คิด แต่ประเด็นที่สำคัญกว่า ก็คือ ราคาหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอาจจะตกต่ำลงไปมากแล้ว จนมันคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินของบริษัท พูดง่ายๆ ถ้าจะสร้างทรัพย์สินแบบเดียวกัน จะต้องใช้เงินมากกว่าการซื้อหุ้นมาก
ในกรณีดังกล่าว เราลองตั้งคำถามใหม่ว่า โอกาสที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จะยังมีผลต่อการท่องเที่ยวเดินทางในอีก 2-3 ปีข้างหน้านั้นเป็นเท่าไร? คำตอบของเราอาจจะเป็นว่า "น้อยมาก" เหตุผลก็คือ เมื่อถึงเวลา โลกอาจมีวัคซีนที่แพร่หลายแล้ว ไข้หวัดอาจจะหายไป หรือกลายเป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ธรรมดาที่คนส่วนใหญ่มีภูมิคุ้มกันแล้ว หรือทุกประเทศก็มีการติดเชื้อใกล้เคียงกัน จะอยู่หรือไปที่ไหนก็เหมือนกัน
ดังนั้น ผลประกอบการของบริษัทท่องเที่ยวเดินทาง น่าจะกลับมาเหมือนเดิมในอีก 2-3 ปี และถ้าราคาหุ้นได้ตกลงมามากมาย เช่น เหลือเพียงครึ่งเดียว การลงทุนในหุ้นดังกล่าวอาจจะมีโอกาสได้กำไร 100% ในเวลา 2-3 ปี ซึ่งคุ้มค่ามากในการลงทุน
ถามว่าวิกฤติเศรษฐกิจจะฟื้นไหมในช่วงครึ่งปีหลัง? โอกาสอาจจะเป็น 50-50 หรือ 50% ถ้าเราเปลี่ยนคำถามใหม่เป็นว่า โอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นในปีหน้าเป็นเท่าไร? คำตอบอาจจะเป็น 70% โอกาสที่จะฟื้นในอีก 2 ปีข้างหน้าเป็นเท่าไร? คำตอบอาจจะเป็น 80% ถ้า 3 ปี อาจจะเป็น 90% หรือมากกว่า
การยืดเวลาทำให้ความแน่นอน หรือความเป็นไปได้สูงขึ้น และถ้าเรามั่นใจมากว่าภายในเวลา 3-4 ปี เศรษฐกิจต้องฟื้นแน่ คำถามต่อไปก็ง่ายขึ้น นั่นคือ บริษัทไหนจะได้ประโยชน์แน่ๆ และกำไรของบริษัทจะต้องกลับมาอย่างน้อยเท่าเดิมก่อนที่จะเกิดวิกฤติ?
หลังจากนั้น ก็มาดูว่า ราคาหุ้นของบริษัทนั้นตกต่ำลงมาแค่ไหน และราคาควรจะกลับไปที่เดิมได้หรือไม่? ทั้งหมดนั้น แน่นอน เป็นการคาดการณ์ แต่ที่สำคัญก็คือ "ความน่าจะเป็น" เป็นเท่าไร ถ้าคำตอบก็คือ สูงมาก เช่น 80-90% แบบนี้ ถ้าเราลงทุนในหุ้นตัวที่ราคาตกลงมาครึ่งหนึ่ง ก็มีโอกาสสูงที่เราจะกำไร 100% ในเวลา 3-4 ปีซึ่งคุ้มค่ามาก
เทคนิคในการ "ยืดเวลา" เพื่อ "เพิ่มความแน่นอน" ในการพยากรณ์นี้ ดูเหมือนจะขัดแย้งกับสามัญสำนึกปกติของคนที่ว่า "ยิ่งนานยิ่งไม่แน่นอน" เพราะ "ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก" แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เหตุการณ์หรือสิ่งที่ผมยกมานั้นเป็นเรื่องที่รุนแรงและไม่ปกติ ซึ่งเรื่องแบบนี้มักจะไม่สามารถอยู่ได้นานมาก "เวลา" จะช่วยรักษาหรือแก้ไขให้มันกลับมาสู่ภาวะปกติ ดังนั้น ถ้าเรา "ทนรอ" ได้ เราก็อยู่ในสถานะที่จะฉกฉวยโอกาสที่เกิดขึ้นเนื่องจากคนส่วนใหญ่ "รอไม่ได้"
ส่วนผมเองนั้น การลงทุนหรือการที่จะซื้อหุ้นตัวไหนนั้น ผมต้องการ "ความแน่นอน" ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่โอกาสเกิดขึ้นต้อง 100% ซึ่งเป็นไปไม่ได้ แต่ผมต้องการความน่าจะเป็นที่ประมาณ 70-80% ขึ้นไป และในเรื่องของกิจการหรือหุ้นนั้น การหาความ "แน่นอน" ขนาดนั้นได้
ส่วนใหญ่ผมต้อง "ยืดเวลา" ในการพยากรณ์ออกไปไม่ต่ำกว่า 2-3 ปีขึ้นไป และคำถามมักจะเป็นว่า บริษัทจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นหรือไม่ และราคาหุ้นในขณะนี้ถูกหรือไม่เมื่อถึงเวลานั้น
บทความนี้เขียนในกรุงเทพธุรกิจโดยดร.นิเวศน์เมื่อ 21 ก.ค.2552
No comments:
Post a Comment