กฏของการลงทุนข้อที่สำคัญที่สุดข้อหนึ่งก็คือ “การกระจายความเสี่ยง” หรือที่เรียกว่า Diversify ในภาษาอังกฤษ การกระจายความเสี่ยงนั้นจะเป็นการป้องกันอันตรายร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจาก ความผันผวนหรือความผิดพลาดในการลงทุนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในแวดวงการเงินมีคำเปรียบเปรยเรื่องการกระจายความเสี่ยงว่าเหมือนกับการ “ใส่ใข่ไว้ในตะกร้าหลายใบ” นั่นก็คือ หากตะกร้าใบใดใบหนึ่งตกลงพื้นทำให้ใข่แตกหมด ใข่ในตะกร้าใบอื่น ๆ ก็ยังอยู่ แต่ถ้าใส่ใข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว และตะกร้าใบนั้นตกลงพื้น ความเสียหายก็มหาศาล ดังนั้น เขาจึงบอกว่า “อย่าใส่ใข่ทั้งหมดในตะกร้าใบเดียว” ความหมายก็คือ เงินทั้งหมดที่มีอยู่นั้น อย่าลงทุนในทรัพย์สินเพียงอย่างเดียว ให้กระจายเงินลงทุนไปในทรัพย์สินต่าง ๆ ทุกอย่างให้มากที่สุด เวลาทรัพย์สินอย่างหนึ่งเสียหาย ทรัพย์สินอื่นก็ยังอยู่และมักให้ผลตอบแทนชดเชยกับความเสียหายนั้นได้ ถ้าทำแบบนี้ โดยรวมแล้ว เราจะไม่เสี่ยงหรือเสียงน้อยมาก และผลตอบแทนที่ได้จะ “ดีพอใช้”
วิธีการในการ Diversify หรือกระจายความเสี่ยงนั้นมีหลักการใหญ่ ๆ อยู่ 4 ข้อ ซึ่งถ้าเราทำตามแล้ว รับประกันได้ว่า ความเสี่ยงของเราจะน้อยลง ลงทุนแล้วนอนตาหลับและได้ผลตอบแทนน่าพอใจ อย่างไรก็ตาม อย่าหวังรวยจากการลงทุนด้วยกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงมาก ๆ
ข้อแรก กระจายการถือหลักทรัพย์ในหลาย ๆ กลุ่มหรือที่เรียกว่าหลาย Asset Class โดยกลุ่มหลักทรัพย์ที่สำคัญประกอบด้วยกลุ่มตราสารหนี้ซึ่งรวมถึงเงินฝากใน สถาบันการเงินที่กำหนดผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอน กับกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนไม่แน่นอนแต่โดยเฉลี่ยแล้วให้ผลตอบแทนสูงกว่ากลุ่ม แรก ซึ่งตัวใหญ่ก็คือ หุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การกระจายการถือหลักทรัพย์เป็นสองกลุ่มใหญ่นั้นช่วยให้เราไม่เสี่ยงเกินไป เพราะในบางช่วงหุ้นอาจจะตก แต่ถ้าเรามีพันธบัตรอยู่ครึ่งหนึ่งหรือ 60% ส่วนนี้เราจะไม่เสียหาย เพราะเวลาหุ้นตก ราคาพันธบัตรมักจะไม่ลดลง ที่จริงมันมักจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้น เราไม่เสียหายมาก ในทางตรงกันข้าม ในกรณีที่หุ้นขึ้น เราก็ได้กำไรจากการที่หุ้นขึ้นซึ่งทำให้ผลตอบแทนรวมของเราดีกว่าการถือ พันธบัตรหรือเงินฝากเพียงอย่างเดียว
ข้อสอง กระจายความเสี่ยงโดย “การลงทุนในหลายช่วงเวลา” นี่คือการลดความเสี่ยงในเรื่องของเวลาเข้าลงทุน เหตุผลก็คือ ถ้าเรามีเงินก้อนโตก้อนหนึ่งแล้วเราเข้าซื้อหลักทรัพย์เช่นหุ้นในเวลาใดเวลา หนึ่งด้วยเงินทั้งหมด ถ้าช่วงนั้นราคาหุ้นต่ำ หลังจากนั้นหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงมาก ผลตอบแทนของเราก็ดีมาก แต่ถ้าตรงกันข้าม เราเข้าลงทุนในช่วงที่หุ้นราคาสูงติดดอย หลังจากลงทุนแล้วหุ้นตกลงมามาก ผลตอบแทนของเราก็จะแย่มาก นี่คือความเสี่ยงของการเน้นการลงทุนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง วิธีการลดความเสี่ยงก็คือ ค่อย ๆ กระจายการลงทุนเป็นช่วง ๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าเวลานั้นหุ้นจะสูงหรือต่ำ ยิ่งทยอยลงทุนเป็นช่วงเวลายาวนานก็ยิ่งช่วยลดความเสี่ยงได้มากขึ้นเท่านั้น อย่าไป “เก็ง” ว่าช่วงไหนเป็นเวลาที่ดีเพราะเรามักจะเก็งไม่ถูก หลักการกระจายการลงทุนข้อนี้เหมาะสมกับคนกินเงินเดือนประจำที่มีเงินเข้าลง ทุนเรื่อย ๆ ตามเวลาเงินเดือนออก ซึ่งเขาควรนำมาลงทุนโดยไม่ต้องคำนึงถึงภาวะตลาดหุ้น
ข้อสาม กระจายการลงทุนในหลาย ๆ ตลาด นี่คือการลดความเสี่ยงจากการที่ตลาดหนึ่งตลาดใดจะแย่ผิดปกติ เช่น ถ้าคิดว่าตลาดหุ้นของประเทศไทยนั้นมีความเสี่ยงจากอะไรบางอย่างเป็นพิเศษ การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศก็เป็นทางหนึ่งในการลดความเสี่ยงได้ เพราะหุ้นของประเทศอื่นนั้นมักจะมีความเสี่ยงไม่เหมือนเมืองไทยซึ่งจะช่วยชด เชยผลตอบแทนได้ในกรณีที่เกิดความเสียหายจากประเทศไทย เช่นเดียวกัน บางครั้งหุ้นในตลาดไทยก็อาจให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นในตลาดต่างประเทศ โดยรวมแล้ว การลงทุนในหลายประเทศจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้
ข้อสุดท้ายของการกระจายความเสี่ยงก็คือ “การปรับพอร์ต” หรือ Rebalance นั่นก็คือ เมื่อกระจายความเสี่ยงโดยการถือครองหลักทรัพย์แต่ละกลุ่มในอัตราที่เหมาะสม กับตนเองดีแล้ว เช่น มีหุ้นคิดเป็น 60% ในตอนต้นปี แต่พอถึงปลายปี หุ้นอาจจะมีราคาเพิ่มขึ้นมากในขณะที่ตราสารหนี้ยังมีราคาเท่าเดิม กลายเป็นว่า หุ้นมีน้ำหนักมากขึ้นเป็น 80% ของพอร์ต สิ่งที่เราควรทำก็คือ ลดปริมาณหุ้นลงให้กลับมาเป็น 60% เหมือนเดิม นั่นก็คือ ให้ขายหุ้นบางส่วนแล้วนำเงินที่ได้ไปลงทุนในตราสารหนี้ ตรงกันข้าม ถ้าถึงสิ้นปีหุ้นมีราคาลดลงมาก หุ้นเหลือเพียง 40% ของพอร์ต สิ่งที่เราควรทำก็คือ ให้เอาเงินที่เป็นตราสารหนี้หรือเงินฝากไปซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งจะทำให้หุ้นกลับขึ้นมาเป็น 60% เหมือนเดิมโดยไม่ต้องกลัวว่า “หุ้นกำลังตก” ถ้าเราทำแบบนี้ก็เท่ากับว่าเวลาหุ้นขึ้นเรามักจะขาย และเวลาที่หุ้นตก เรามักจะซื้อหุ้นเพิ่ม โดยเฉลี่ยแล้ว เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น ความเสี่ยงจะลดลง
โดยสรุปสุดท้ายก็คือ การกระจายความเสี่ยงโดยการ Diversify และ Rebalance นั้น เป็นยุทธศาสตร์การลงทุนที่ เน้นความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีความรู้ความสามารถในการลงทุนไม่มาก มันเหมาะกับคนชั้นกลางที่กินเงินเดือนและต้องการสร้างหลักประกันในการที่จะ สามารถเกษียณได้อย่างมีความสุข Model หรือรูปแบบหนึ่งก็คือ การที่คนกินเงินเดือนกันเงินรายได้ประมาณ 10% มาลงทุนทุกเดือน โดยการลงทุนอาจจะกระจายซื้อหน่วยลงทุนหุ้นที่อิงดัชนีเช่น TDEX จำนวน 40% อีก 20% อาจจะซื้อหน่วยลงทุนที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ รวมเป็นหุ้น 60% เงินอีก 30% ลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ของบริษัทระดับบลูชิพหรือรัฐวิสาหกิจชั้นนำ ที่เหลือประมาณ 10% อาจจะเก็บเป็นเงินฝากในธนาคาร ทั้งหมดนั้น ต้องทำการปรับพอร์ตหรือ Rebalance ทุกปี ปีละครั้ง โดยที่ทั้งหมดนั้นต้องทำโดยอัตโนมัติ ไม่ใช้ความรู้สึกหรือพยายามเก็งภาวะตลาด และนี่คือ Model ที่น่าจะพาให้ผู้ลงมือทำไปถึงเป้าหมายอย่างไม่เครียดและมีความสุขตลอดระยะ เวลาอันยาวนานของการลงทุนได้
บทความนี้ลงใน ThaiVI.comเมื่อ 13 มีนาคม 2553
No comments:
Post a Comment