การลงทุนนั้นเป็นศิลปะ “ชั้นสูง” อย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงมี “คำพูด” ของกูรูมากมายที่พูดถึงการลงทุน ลองมาดูว่ามีคำพูดที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงและใช้อ้างอิงจนกลายเป็นคำพูดคลา สิกหรือเป็นคำพูดอมตะที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาอะไรบ้าง
คำพูดแรกคงต้องยกให้เป็น ของเบน เกรแฮม ในฐานะที่เป็น “บิดา” ของการวิเคราะห์การลงทุนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือ “ตลาดหุ้นในระยะสั้นเป็นเสมือนเครื่องลงคะแนน แต่ในระยะยาวเป็นเสมือนเครื่องชั่ง” ความหมายก็คือ ในระยะสั้น ๆ นั้น ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของนักลงทุน ถ้าคนเชื่อและลงความเห็นว่ามันจะขึ้นมากกว่าคนที่คิดว่ามันจะลง ราคาก็จะขึ้นตามการ “ลงคะแนน” ของนักลงทุน แต่ในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทว่ามันจะมีกำไรมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีกำไรมากหรือเทียบกับว่ามีน้ำหนักมาก ตลาดก็จะให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามกำไรหรือน้ำหนักนั้น
คำพูดที่สองผมคงต้องยกให้ กับ วอเร็น บัฟเฟตต์ ในฐานะที่เป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก บัฟเฟตต์บอกว่า “หลักการรวบยอดสำหรับนักลงทุนก็คือ การเลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่” นอกจากนั้น เขายังมีคำพูดต่อเนื่องจากหลักการนี้ว่า “มันเป็นเรื่องดีกว่ามากที่จะซื้อบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรม แทนที่จะซื้อบริษัทที่ดีพอควรในราคาที่ถูกมาก”
ความหมายของคำพูดแรกก็ คือ เวลาจะซื้อหุ้นนั้น นักลงทุนจะต้องดูเสียก่อนว่ามันเป็นกิจการหรือบริษัทที่ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดีก็ไม่ต้องไปลงทุน ถ้าดีแล้วก็ต้องดูต่อว่าราคาหุ้นในขณะนั้นเหมาะสมหรือเปล่า ถ้าราคาแพงก็อย่าซื้อ ถ้าไม่แพงหรือถูก ก็ซื้อ หลังจากนั้นก็เก็บหุ้นไว้ ไม่ต้องคิดว่าจะขายแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือตก จะขายต่อเมื่อกิจการนั้นเริ่มจะไม่ดีแล้ว ส่วนคำพูดที่สองนั้นบอกว่า การซื้อหุ้นของกิจการที่ดีในราคาที่เหมาะสมนั้นอาจจะมีสองแบบ และแบบที่ดีก็คือ ซื้อกิจการที่ดีมาก ๆ ดีกว่าซื้อกิจการที่ดีธรรมดา แม้ว่าราคาหุ้นของกิจการที่ดีมากจะแพงกว่ากิจการธรรมดา ๆ มาก
คำพูดที่สี่ผมคิดว่าต้อง ยกให้กับ จอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรที่น่าจะประสบความสำเร็จสูงระดับต้น ๆ ของโลก เขาพูดว่า “สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าคุณถูกหรือผิด แต่สิ่งสำคัญก็คือ คุณกำไรเท่าไรเมื่อคุณถูก และคุณขาดทุนเท่าไรเมื่อคุณผิด” ความหมายก็คือ สำหรับโซรอสแล้ว เขาจะคิดผิดกี่ครั้งก็ไม่สำคัญตราบที่เขาไม่ได้ “พนัน” หรือลงทุนมาก หรือคิดผิดแต่ขาดทุนไม่มากเพราะเขา “ขายทิ้งทัน” นั่นก็คือ คุณต้องรู้ตัวเร็วว่าคุณคิดผิด แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าโอกาสชนะสูงมากคุณจะต้องกล้า “เดิมพัน” และทำกำไรมโหฬาร หรือกล้าที่จะ let profit run หรือถือทำกำไรมาก ๆ ก่อนที่จะขายได้
คำพูดที่ห้าผมยกให้กับนัก เก็งกำไร “ระดับตำนาน” อีกคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้วคือ Jesse Livermore เขาพูดว่า “ตลาดหุ้นคือที่ที่อันตรายมากสำหรับคนที่ไม่ชอบทำการบ้าน คนโง่ และคนที่ชอบรวยทางลัด” นี่เป็นคำพูดของนักเก็งกำไรที่มีชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ พอ ๆ กับราคาหุ้นและความมั่งคั่งของเขา และเป็นคำเตือนที่มีค่ายิ่งสำหรับนักเก็งกำไรว่า การเก็งกำไรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คนรวยได้ในชั่วข้ามคืน การเป็นนักเก็งกำไรที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องทำงานหนักและต้อง “ฉลาด” ด้วย มิฉะนั้นคุณอาจจะเจ๊งได้ง่าย ๆ
คำพูดที่หกผมขอยกมาจาก ปีเตอร์ ลินช์ นักบริหารกองทุนรวมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก เขาพูดว่า “ราคาหุ้นกับกำไรจะไปด้วยกันเสมอ ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ” ความหมายของลินช์ก็คือ ในระยะยาวแล้วราคาหุ้นกับกำไรต้องไปด้วยกันเสมอ อย่ากลัวว่าหุ้นจะลงมาหากกำไรของบริษัทยังดีอยู่ ยิ่งหุ้นลงยิ่งเป็นโอกาสที่จะซื้อหุ้นเพราะไม่ช้าก็เร็วหุ้นก็จะต้องวิ่ง กลับมาตามกำไรที่เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินกำไรที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นไปได้ว่าในไม่ช้า ราคาก็อาจจะต้องปรับตัวลงมาหาเส้นกำไรเช่นกัน มองในแง่นี้เขาจะต่างจากบัฟเฟตต์ที่ลงทุนแล้วไม่ค่อยขายในขณะที่ของลินช์ นั้น มีโอกาสที่เขาจะขายหุ้นมากกว่าเพราะแม้ว่ากิจการยังดีอยู่แต่ถ้าราคาหุ้น วิ่งขึ้นไปสูงเกินไปเขาก็อาจจะขายหุ้นเหมือนกัน
คำพูดที่เจ็ดเป็นของ บัฟเฟตต์อีกครั้งคือ “จงพยายามกลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และโลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว” นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากในบางสถานการณ์ที่ในชีวิตการลงทุนของเราจะต้องประสบ อยู่เป็นครั้งเป็นคราวโดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดดีมากหรือยามที่เกิดวิกฤติ การกลัวเมื่อคนอื่นโลภนั้นทำยาก แต่มันอาจจะช่วยให้เรารอดจากหายนะได้ ในทางตรงกันข้าม ในยามวิกฤติที่ทุกคนกลัวและถอนตัวออกจากตลาดนั้น มันเป็นเรื่องที่ยากมากที่เราจะรู้สึกโลภ อย่างไรก็ตาม ถ้าเราทำได้ มันอาจจะทำให้เราได้กำไรมหาศาลได้
คำพูดที่แปดผมขออ้างถึง ลอร์ด เคน นักเศรษฐศาสตร์ระดับตำนานของโลกและเซียนหุ้นที่ “โลกลืม” เขากล่าวคำอมตะว่า “ในระยะยาวแล้ว ทุกคนก็ตายหมด” ความหมายก็คือ อย่ารอเวลาโดยอ้างว่าเป็นเรื่องระยะยาว ถ้าจะมีผลมันก็ต้องเห็นในเวลาอันสั้น ถ้าจะประยุกต์ใช้กับการลงทุนก็คือ ถ้าคุณลงทุนมาหลายปียังไม่เห็นมรรคผล โอกาสก็คือ วิธีหรือกลยุทธ์ที่ใช้คงผิดพลาด ต้องเปลี่ยนแปลง อย่าคิดว่าต่อไปมันจะดีโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอ
สุดท้ายผมขออ้างหลักธรรม ที่คนไทยทุกคนรู้จักดีแต่อาจจะไม่ตระหนักว่ามันเกี่ยวข้องกับการลงทุนนั่นก็ คือ คำพูดที่ว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ซึ่งแปลว่า ความไม่เที่ยงแท้ ความทุกข์ และความไม่มีตัวตน นั่นก็คือ การลงทุนนั้นมีความเสี่ยงสูงไม่แน่นอนและมันอาจจะก่อให้เกิดความทุกข์ได้แสน สาหัส ดังนั้น อย่ายึดมั่นถือมั่นกับมัน ปล่อยวางเสียและเตือนตัวเสมอว่า สิ่งต่าง ๆ มันไม่เที่ยง อย่าประมาทเวลาลงทุน
บทความนี้ลงในThaiVI.comเมื่อ 21 สิงหาคม 2553
No comments:
Post a Comment