ถ้าถามเด็กเล็กว่าของเล่นอะไรในงานวัดเป็นสิ่งที่เขาชอบที่สุด ผมเชื่อว่า “ม้าหมุน” น่าจะติดอยู่ในอันดับต้น ๆ เพราะม้าหมุนนั้นมันทำให้เด็ก “หมุน” ไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกตื่นเต้น สนุกสนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศที่มี “เพื่อน” ร่วมวงเล่นกันอย่างมากมายบนม้าหมุนที่ประดิดประดอยตกแต่งอย่างสวยงามราวกับอยู่ในเมืองในเทพนิยาย นอกจากนั้น ดนตรีที่บรรเลงอย่างไพเราะรื่นเริงในยามที่เด็ก ๆ กำลังนั่งอยู่บนหลังม้าที่หมุนไปนั้น มันสร้างความสุขและความเคลิบเคลิ้มที่มักทำให้เขาจดจำไปช้านาน ถ้าจะว่าไป การนั่งม้าหมุน โดยเฉพาะที่ใหญ่และหรูหรานั้น มักทำให้คนนั่งรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในความฝันที่มีความสุขเหลือล้น และนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ฝรั่งเรียกของเล่นชิ้นนี้ว่า Merry-Go-Round หรือแปลแบบสนุก ๆ ว่า “ความสุขที่หมุนไปเป็นรอบ ๆ”
ผมพูดถึงม้าหมุนเพราะรู้สึกว่าบรรยากาศในตลาดหุ้นไทยเวลานี้เหมือน “ม้าหมุน” ที่คนเล่นหุ้นต่างก็ขึ้นไป “นั่ง” เล่นกันอย่างสนุกสนาน มีความสุขเหลือล้น คล้าย ๆ อยู่ในความฝัน กำไรหรือเงินนั้นหามาได้ง่าย ๆ พวกเขาโหมซื้อหุ้นตัวหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งที่มาถึง “รอบ” ของมัน ถือไว้ไม่กี่วันหรือบางทีไม่ถึงวัน ราคามันขึ้นไปอย่างแรง ขายมันทิ้ง แล้วก็มองหาหุ้นตัวใหม่ในกลุ่มใหม่ที่กำลังจะมาถึงรอบ ของมัน ไม่มีใครรู้ว่าม้าหมุนจะหยุดเมื่อไร แต่ตราบใดที่มันยังหมุนอยู่ ทุกคนก็ยัง “ตักตวงความสุข” กันอย่างเต็มที่ เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาคิดว่าม้าหมุนเครื่องนี้ก็เพิ่งเปิดให้เข้ามาเล่นได้ไม่นาน “มันคงไม่หยุดกันง่าย ๆ ”
เริ่มตั้งแต่ตัวเลขเศรษฐกิจโลกที่เริ่มแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจได้หยุดถดถอยลงแล้วและราคาน้ำมันและพลังงานเริ่มปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด กลุ่มพลังงานซึ่งนำโดยหุ้น ปตท. และ ปตท. สผ. ก็เริ่มปรับตัวขึ้น นักลงทุนโดยเฉพาะรายใหญ่ที่เป็นนักลงทุนสถาบันมองว่า ถ้าเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพแล้ว ในไม่ช้าก็น่าจะฟื้นตัว และเมื่อนั้นหุ้นก็จะกลับมา ในอีกด้านหนึ่ง การที่ราคาพลังงานปรับตัวขึ้นก็ทำให้บริษัทในกลุ่มนี้มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ดังนั้น เขาจึงกระโดด “ขึ้นม้า” หรือซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น
รอบต่อมาหรือใกล้เคียงกับกลุ่มพลังงานก็คือกลุ่มสถาบันการเงินที่นำโดยธนาคารพาณิชย์ นี่คือกลุ่มที่คนคิดว่าจะได้ประโยชน์จากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัว เพราะถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัว ความต้องการสินเชื่อจะเพิ่มขึ้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หนี้เสียจะหยุดเพิ่มและบางทีลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้จะกลับมาชำระหนี้ได้ซึ่งทำให้ต้นทุนของธนาคารลดลง ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้น ดังนั้น นักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นสถาบันการลงทุนทั้งในและต่างประเทศจึงเข้ามาซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ซึ่งนอกจากจะมี “Story” หรือเหตุผลการลงทุนที่ดีแล้ว ยังเป็นกลุ่มของหุ้นที่มีขนาดใหญ่และสภาพคล่องสูงซื้อง่ายขายคล่องด้วย ทำให้หุ้นกลุ่มนี้วิ่งกันถ้วนหน้า
หุ้นกลุ่มต่อมาที่น่าจะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หรือแม้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวมากนักแต่เงินกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลกำลังจะ “อัด” ลงไปในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่าง ๆ ที่ต้องใช้วัสดุก่อสร้างจำนวนมากก็คือ กลุ่มผู้รับเหมาและกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ดังนั้น หุ้นของกลุ่มรับเหมาและวัสดุก่อสร้างที่เคยตกต่ำมากเนื่องจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจจึงน่าจะมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น นี่คือ Story ที่ทำให้นักลงทุนกลับมาเก็บหุ้นในกลุ่มนี้และทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาก
อสังหาริมทรัพย์ที่คนกลัวกันมากว่าจะถูกกระทบมากที่สุดจากวิกฤติเศรษฐกิจนั้น เมื่อคนเริ่มตระหนักว่าเศรษฐกิจไม่ได้เลวร้ายเกินไปและกำลังฟื้นตัว ประกอบกับการที่เห็นว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ในกลุ่มนั้นกลับดีขึ้นเนื่องจากการที่บริษัทเล็กต้องออกจากตลาดทำให้บริษัทขนาดใหญ่สามารถขายบ้านได้มากขึ้น ทำให้นักลงทุนกลับมาซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์หลังจากเห็นงบการเงินล่าสุดที่ดีผิดคาด ส่งผลให้หุ้นในกลุ่มบ้านจัดสรรปรับตัวขึ้นอย่างน่าประทับใจ
เมื่อเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ราคาปิโตรเคมีที่เคยตกต่ำอย่างหนักก็เริ่มปรับตัวขึ้น นี่ทำให้หุ้นในกลุ่มปิโตรเคมีที่อิงอยู่กับราคาปิโตรเคมีรวมถึงค่าการกลั่นน้ำมันปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด และนี่ยังไม่ได้รวมถึงการที่บริษัทปิโตรเคมีในกลุ่มของ ปตท. ที่มีข่าวว่าจะรวมกันซึ่งทำให้หุ้นในกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นรับกับ “ข่าวดี” ที่อาจจะยังไม่มีความชัดเจนนี้ด้วย
เมื่อเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจนแล้วแม้ว่าจะยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง หุ้นในกลุ่มที่ Sensitive หรือค่อนข้างจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจมาก ๆ อย่าง รถยนต์ และ อิเลคโทรนิค ก็เริ่มกลับมา เช่นเดียวกัน หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเดินทางที่มักจะถูกกระทบแรงมากในยามวิกฤติ ในขณะนี้ก็เริ่มเห็นสัญญาณว่าคนท่องเที่ยวเดินทางเริ่ม “จองตั๋ว” กลับมามากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น หุ้นก็วิ่งขึ้นอย่างแรงเช่นเดียวกัน
หุ้นในกลุ่มผู้บริโภคซึ่งรวมถึงกลุ่มพาณิชย์และกลุ่มสื่อสารนั้น ค่าที่ว่าในช่วงวิกฤติไม่ค่อยได้ตกลงมามากนัก การปรับตัวขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นจึงไม่แรงเหมือนหุ้นในกลุ่มอื่นที่กล่าวถึง และการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้นในกลุ่มเมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็มักเป็นเรื่องเฉพาะตัวหรือเฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างเช่นการที่ทาง กทช. จะเปิดให้มีการประมูลคลื่นระบบ 3G ของบริษัทให้บริการโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
กล่าวโดยสรุปก็คือ ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังปรับตัวดีขึ้นหลังจากวิกฤติ หุ้นในกลุ่มต่าง ๆ ก็มักจะปรับตัวขึ้น โดยพฤติกรรมก็คือ มีการปรับตัวโดดเด่นกันทีละกลุ่มโดยมี Story มาหนุน Story นั้น บางทีก็จริง บางทีก็เป็นเรื่องที่ไม่เป็นเหตุผลที่เพียงพอ แต่ในยามนี้ ถ้าคนเชื่อ โดยที่อาจจะมีราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเป็น “คำยืนยัน” หุ้นก็ขึ้นไปได้ ในสถานการณ์แบบนี้ พื้นฐานอาจจะมีความหมายน้อยกว่าภาวะตลาดและภาวะหุ้นในกลุ่ม ดังนั้น การลงทุนที่จะได้กำไรมากและเร็วในเวลานี้อาจจะไม่ใช่การซื้อหุ้นที่เน้นแต่ Value อย่างเดียว อย่างไรก็ตาม Value Investor จะต้องระวังว่าสถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปได้เสมอ ถ้าจะให้ปลอดภัย เราควรจะหาหุ้นที่ถ้าเกิดสถานการณ์เปลี่ยน หุ้นของเรายังมี Margin of Safety เหลือพอ
สุดท้ายจงจำไว้ว่า เวลาที่ “ม้าหมุน” หยุดนั้น มักจะเป็นเวลาที่คนกำลังรื่นเริงสุดขีด กติกา ก็คือ เวลาที่มันหยุด คนที่ยังอยู่จะต้อง “จ่ายตัง” ขอให้โชคดีและมีความสุขกับการเล่น “ม้าหมุน” ครับ
บทความนี้ลงในThaiVI.comเมื่อ 15 ก.ย.2552
No comments:
Post a Comment