ความคิดต่อไปนี้ เกิดขึ้นเมื่อผมต้องย้ายข้าวของภายในบ้านจากที่ต่ำไปสู่ที่สูง เพราะนั่นทำให้ผมพบว่ามีสิ่งของมากมายที่ผมแทบจะไม่เคยได้ใช้ หรือใช้เพียง 2-3 ครั้ง
แล้วก็ถูกเก็บเอาไว้จนผมลืมไปแล้วว่ามีอยู่ เครื่องใช้หลายอย่างนั้น
ผมซื้อมาเพราะคิดว่ามันน่าใช้ มีประโยชน์
แต่หลังจากนั้นผมก็พบว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราอยากทำจริงๆ เช่น
เครื่องออกกำลังกาย เครื่องมือทำความสะอาดบ้านแบบหรูหรา เป็นต้น
สิ่งของบางอย่างนั้น ผมได้รับมาจากคนอื่นเป็นของขวัญ หรือเป็นของรางวัล
ของเหล่านั้น ผมไม่ต้องการใช้ในขณะนั้น จึงเก็บไว้
แล้วก็ลืมว่ามันมีตัวตนอยู่ สิ่งของทั้งหมดนั้น ผมเรียกมันว่า NPA หรือ
non-performing asset หรือ “ทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์” ทั้งๆ
ที่มันอาจจะมีประโยชน์สำหรับคนอื่น
ลองสำรวจตัวเองแล้ว
ผมก็คิดว่าตนเองไม่ใช่คนที่ซื้อหรือเก็บของอะไรมากมายนัก ดังนั้น
คนอื่นจำนวนมากก็น่าจะมี NPA
อยู่มากโขเหมือนกันโดยเฉพาะคนที่มีบ้านใหญ่โตเก็บของได้มาก
และเมื่อยิ่งคิดไปอีกก็พบว่า ในความเป็นจริง ผมหรือคนจำนวนมากนั้น
ไม่ได้มี NPA เฉพาะที่เป็นของใช้ต่างๆ
ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในบ้านเท่านั้น แต่ยังมี NPA
ที่เป็นทรัพย์สินรายการใหญ่ๆ อีกไม่น้อย และ NPA เหล่านั้น
น่าจะมีส่วนทำให้ความมั่งคั่งของเขาถดถอยลงเนื่องจากมัน “ดูด”
เงินของเราให้ “จม” ไปกับมันโดยไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์หรือรายได้กลับมา
NPA ที่เคยเป็นรายการทรัพย์สินใหญ่ของผมตัวหนึ่งก็คือ
ที่ดินแถวบางบัวทองที่ผมซื้อมาตั้งแต่เมื่อประมาณ 15 ปีก่อนในช่วงวิกฤติปี
2540 ที่แปลงนั้นมีราคากว่า 5 ล้านบาท
ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญในขณะนั้นของผมและผมต้องก่อหนี้ถึงกว่า 3
ล้านบาทเพื่อที่จะซื้อมาและพบว่าผมไม่สามารถใช้มันได้เลยเนื่องจากอาณา
บริเวณนั้นถูกน้ำท่วมตั้งแต่วันแรกที่ซื้อและท่วมต่อมาอีกเกือบทุกปี
การที่จะขายทิ้งแทบเป็นไปไม่ได้ยกเว้นว่าจะขายถูกมากแบบครึ่งราคาซึ่งผมไม่
ยอมทำ ผมปล่อยให้มันเป็น NPA มาเป็นสิบๆ ปีและนั่นคือความผิดพลาด
เพราะถ้าผมขายทิ้งตั้งแต่แรกๆ
แม้ในราคาเพียงครึ่งเดียวและนำเงินมาลงทุนในทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้
ป่านนี้มันคงกลายเป็นเงินก้อนโตไปแล้ว
คนที่ซื้อคอนโดมิเนียมไว้
โดยเฉพาะที่อยู่ตามสถานที่ท่องเที่ยวในต่างจังหวัด แต่ไม่ค่อยได้ไปพัก
เช่นปีหนึ่งอาจจะใช้เพียง 4-5 วัน ในกรณีอย่างนี้เขาอาจจะไม่ตระหนักว่า
มันได้กลายเป็น NPA เรียบร้อยแล้ว เหตุผลก็เพราะว่า
ด้วยเม็ดเงินลงทุนที่ต้องเสียไปเปรียบเทียบกับผลตอบแทนหรือประโยชน์ที่ได้
รับนั้น มันไม่สัมพันธ์กันเลย ตัวอย่างเช่น ถ้าคอนโดมีราคา 2
ล้านบาทและเราสามารถสร้างผลตอบแทนได้ปีละ 10% เราก็จะได้เงินปีละ 2 แสนบาท
เทียบกับการใช้คอนโดของเราประมาณ 4-5 วันต่อปี
เท่ากับว่าเราเสียค่าที่พักคืนละ 4-5 หมื่นบาท
ดังนั้นต้องถือว่าคอนโดที่เราซื้อมากลายเป็น NPA ไปแล้ว
หุ้นหลายตัวที่เราถือมานานหลายปี แต่เมื่อมองย้อนหลังกลับไป
พบว่ามันให้ผลตอบแทนน้อยมาก
ทั้งจากปันผลที่น้อยนิดและราคาหุ้นที่ไม่ไปไหนมานาน
เหตุผลที่เราไม่ขายทิ้งก็อาจจะเป็นเพราะว่าราคาหุ้นต่ำกว่าต้นทุนมาก
เราขายไม่ลง หรือเราอาจจะมองว่าหุ้นตัวนั้นมีราคาถูกเป็นหุ้น VALUE
และหวังว่าในที่สุดมันก็จะปรับตัวขึ้นมาเอง ดังนั้นเราจึงไม่ขาย
ในกรณีแบบนี้ เราอาจจะกำลังถือหุ้นที่เป็น NPA
หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็คือเป็น NPS หรือ non-performing stock
ซึ่งยิ่งถือนานก็ยิ่ง “ขาดทุน”
เพราะถ้าเราขายหุ้นไปแล้วเอาเงินมาลงทุนในหุ้นอื่นที่ดีกว่า
เราจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่ามากในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านไป
สุดท้ายที่ผมเห็นว่าคนจำนวนมากไม่ตระหนักก็คือ
การที่เราฝากเงินไว้ในธนาคารจำนวนมากกว่าความจำเป็นเพราะเราไม่รู้เรื่องการ
ลงทุนดีพอจริงอยู่
การฝากเงินนั้นแม้ว่าจะปลอดภัยแต่มันก็ให้ผลตอบแทนน้อยมาก
ช่วงเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมาเราได้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละไม่เกิน 2-3%
ต่ำยิ่งกว่าอัตราเงินเฟ้อ ดังนั้นในความคิดของผม
เงินฝากธนาคารในช่วงกว่าสิบปีที่ผ่านมานั้นเป็น NPA
โดยที่คนจำนวนมากไม่รู้ตัว
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนั่นก็คือ
เราต่างก็มีทรัพย์สินที่เป็น NPAจำนวนมาก ดังนั้น
วิธีที่จะสร้างความมั่งคั่งที่น่าจะมีประสิทธิภาพที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ
การตระหนักถึง NPA ที่อาจจะอยู่ในพอร์ตของเราอย่างไม่รู้ตัว
การไม่สร้างหรือซื้อทรัพย์สินที่มีโอกาสที่จะกลายเป็น NPA สูง
และการแก้ไขทรัพย์สินที่เป็น NPA โดยวิธีการต่างๆ ซึ่งแน่นอน รวมถึงการขาย
NPA
นั้นทิ้งแม้ว่าจะได้ราคาน้อยกว่าที่เราคาดหรือคำนวณไว้มากถ้าทำได้แบบนี้
หนทางสู่ความมั่งคั่งคงจะราบเรียบขึ้นเยอะโดยที่เราอาจจะไม่ต้องใช้ความ
พยายามมากเกินไป
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2554
No comments:
Post a Comment