คนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะคนร่ำรวยมีเงินทองระดับเศรษฐี หรือชนชั้นกลางระดับสูงมีรายได้มาก และกำลังสะสมความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ.มักชอบวิจารณ์หรือบางทีก่นด่าว่าประเทศไทยนั้นมีเรื่อง“แย่ๆ”มากมาย ที่กำหนดหรือสร้างขึ้นโดย “รัฐ”
นักการเมืองเองเอาแต่กอบโกย หาผลประโยชน์เข้าตัวเอง หรือไม่ก็ใช้เงินที่ได้จากภาษีที่มาจากคนที่ทำงานมีรายได้สูง เอาไปแจกจ่ายให้กับฐานเสียงของตนเอง ซึ่งเป็นประชาชนมีรายได้ต่ำ โดยไม่เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ แต่ส่วนที่ “ดีๆ” ของประเทศไทยนั้น ดูเหมือนว่าจะมาจาก “คนไทย” และ “ขนบธรรมเนียม” ต่างๆ ของคนไทยที่ทำให้ประเทศนี้ “น่าอยู่” มากกว่าที่อื่นใดในโลก
หลังจากผมกลายเป็นนักลงทุนเต็มตัว และกลายเป็นคนที่มีเงินมากอยู่เหมือนกัน เงินเหล่านี้ล้วนเกิดหรือถูกสร้างขึ้นในประเทศไทยโดยคนไทย โดยเฉพาะคนมีเงินน้อย และภายใต้กฎเกณฑ์คนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่มีเงินน้อยเช่นกัน ผมเริ่มจะรู้สึกว่าสิ่งที่เคยคิดว่า “แย่ๆ” อาจจะไม่จริง
ตรงกันข้าม ผมคิดว่า“โชคดี” ที่เกิดทำงานหากินในไทย รู้สึกแบบที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Appreciate ประเทศไทย” คือรู้สึกขอบคุณประเทศไทย รู้สึกพึงพอใจที่ได้เป็นคนไทยลงทุนในไทย รู้สึกเห็นคุณค่าของประเทศไทย และคิดว่าผมไม่ใช่คนเดียวที่คิดอย่างนั้น เพราะมีเพื่อนหรือรู้ว่าชาวต่างชาติจำนวนมาก ที่เป็นคน “มีสตางค์” ไม่ได้ “โชคดี”อย่างเรา พวกเขาถูก“ลิดรอน”ความมั่งคั่งด้วยภาษี และการกระทำหรือนโยบายหลายอย่าง ทำให้ความมั่งคั่งที่มาจากหยาดเหงื่อและแรงงานลดลง จนบางที “ไม่รู้จะทำอย่างไร”
ตัวอย่างเช่นชาวอเมริกัน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนและทำงานที่ไหนในโลก พวกเขาจะต้องถูกรัฐเก็บภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลี่ยงไม่ได้ เพื่อนนักลงทุนชาวอเมริกันของผมที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยคนหนึ่ง บอกว่าแต่ละปีเขาต้องเสียภาษีนับสิบล้านบาท ให้รัฐบาลอเมริกันจากผลตอบแทนที่เขาได้ จากการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำงานหรือมีรายได้ในอเมริกาเลย
ว่าที่จริงเขาแทบไม่ได้กลับอเมริกาเลย บางทีเป็นปีๆ สำหรับเขาเวลานี้แล้ว เมืองไทยคือบ้าน เขามีความสุขในการใช้ชีวิตลงทุนในตลาดหุ้นไทย และคงอยู่ไปเรื่อยๆ ตลอดไป ผมถามเขาว่าสรรพากรอเมริกาจะรู้ได้อย่างไรว่า เรากำไรจากการซื้อ-ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย เขาตอบว่า ถ้าเขาโกงภาษีและถูกจับได้ต้องติดคุก ดังนั้นเขาไม่เสี่ยงแน่นอน
ผมถามต่อว่าทำไมไม่แปลงสัญชาติอย่างที่ดาราหรือคนดังมีรายได้มาก อย่าง จิม โรเจอร์ นักลงทุนทำกรณีแปลงสัญชาติเป็นคนสิงคโปร์ เขาบอกว่าเขาทำ แต่การ “ยกเลิก” สัญชาติอเมริกันนั้น จะต้องจ่ายภาษีทั้งหมดที่กำไรจากหุ้น แม้ว่าคุณจะไม่ได้ขายมัน ซึ่งนั่นจะเป็นเงินมหาศาล อาจเป็นร้อยๆ ล้านบาท เห็นหรือยังว่าการเป็นนักลงทุนส่วนบุคคลของคนอเมริกันมันยากเข็ญแค่ไหน? โชคดีที่ผมไม่ใช่คนอเมริกัน!
ถ้าคุณเป็นคนญี่ปุ่นและมีทรัพย์สินมาก เวลาคุณตาย รัฐจะเก็บภาษีจากทรัพย์มรดกของคุณอย่างหนัก ดังนั้น ความมั่งคั่งที่คุณสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตลอดชีวิตจะถูกรัฐเอาคืนไปเหลือถึงลูกหลานน้อยไปมาก เช่นเดียวกัน การมีทรัพย์สินมีมูลค่าตลาดสูง รวมถึงบ้านที่ใช้อยู่อาศัย ทุกปีจะถูกเก็บภาษีทรัพย์สินที่หนักหนาสาหัส นี่คือสิ่งที่เป็นในประเทศเจริญแล้วแทบจะทั่วโลก
ดังนั้น แม้บางครั้งคุณจะไม่ได้ทำอะไรกับทรัพย์สินมีค่า ที่เป็นที่ดินสิ่งปลูกสร้าง คุณจะถูกเก็บภาษี ซึ่งยิ่งนานไปความมั่งคั่งของคุณจะค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ ทั้งเรื่องภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สิน เป็นรายจ่ายหรือต้นทุนความมั่งคั่งที่ในประเทศไทยยังไม่มี สำหรับคนที่ร่ำรวยโดยเฉพาะมีที่ดินมาก เขาควรจะต้อง Appreciate ประเทศไทย
ผมยังมีเพื่อนชาวต่างชาติ ที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเมื่อเร็วๆ นี้ เขาเล่าว่าหุ้นราคาถูกมาก PE ของบริษัทชั้นนำดีๆ มีค่าไม่เกิน 10 เท่า เศรษฐกิจกำลังเติบโต เขาทำกำไรจากหุ้นได้ไม่เลวนัก แต่ปัญหาคือเรื่องเงินเฟ้อและค่าเงินรวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ที่ยังค่อนข้างยุ่งยาก ผลคือบางทีขาดทุน อย่างไรก็ตาม เขายัง “เข้า-ออก” ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นระยะแบบนักเก็งกำไร
แต่ถ้ามองในฐานะของคนเวียดนามเอง ผมคิดว่าการเป็นคนมีเงิน รวมถึงการเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น คงจะไม่สะดวกสบายหรือให้ผลตอบแทนที่ดีนัก เมื่อคำนึงถึงว่าดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อยังสูงลิ่ว ทำลายค่าเงินตลอดเวลา ค่าเงินด่องเองไม่มีเสถียรภาพลดค่าลงเรื่อยๆ ทำให้กำลังซื้อสินค้าจากต่างประเทศ หรือการไปเที่ยวต่างประเทศของคนเวียดนามที่ “มีสตางค์” ลดต่ำลง
นอกจากนั้น ถ้าเข้าใจไม่ผิด การเป็นคนรวยในสังคมเวียดนาม ยังเป็นสถานะที่ “ถูกเพ่งเล็ง” จากทางการหรือสังคมอยู่ ทำให้ชีวิตคนรวยอาจไม่สดใสเท่ากับคนรวยของไทย ที่มักเป็นที่นิยมชมชอบของคนในสังคม ดังนั้นคนมีฐานะดีควรจะ Appreciate ประเทศไทย
ผู้บริหารชาวต่างชาติถูกส่งมาจากบริษัทแม่ ที่มาทำงานในกิจการของบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย ที่เรียกว่า Ex-Pat โดยเฉพาะคนญี่ปุ่น ส่วนใหญ่สุขมากที่ได้มาทำงานในไทย เพราะชีวิตและมาตรฐานความเป็นอยู่ของพวกเขา จะดีและสูงขึ้นมาก มีรถหรูพร้อมคนขับ มีแม่บ้านรับใช้ มีบ้านหรู มีสิ่งอื่นๆ อย่างกับ “ราชา” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่มีในประเทศของตนเอง ดังนั้นเวลาผู้บริหารชาวญี่ปุ่นได้รับคัดเลือกให้มาทำงานในไทย พวกเขาจะดีใจมาก แต่วันที่ถูกเรียกตัวกลับนั้น บางคนบอกว่าแทบจะร้องไห้ การมีเงินคุณสามารถซื้ออะไรหลายๆ อย่างในไทย ที่มีราคาถูกมากเทียบกับประเทศเจริญแล้วอีกหลายประเทศ ตัวอย่างเช่น แทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะจ้างแม่บ้านอยู่ดูแลรับใช้ในญี่ปุ่น แม้คุณมีเงินค่อนข้างมาก ดังนั้น เราควร Appreciate ประเทศไทย
ถ้าจะให้หรือจัดอันดับกันแล้ว ผมคิดว่าไทยนั้น น่าจะเป็นเมืองที่เป็น “เพื่อน” กับคนที่ร่ำรวย หรือฐานะดีมีความมั่งคั่งสูงมากที่สุดแห่งหนึ่ง มองจากด้านของระบบภาษี กฎเกณฑ์ และสภาวะทางเศรษฐกิจ รวมถึงขนบประเพณีวัฒนธรรม ถ้าจะมีประเทศไหนโดดเด่นกว่าไทยชัดเจน คิดว่าน่าจะเป็นสิงคโปร์ ที่แก้ไขปรับปรุงระบบภาษีและกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ประเทศเป็นแหล่งดึงดูดคนมีเงินทั่วโลกเข้ามา เพื่อเพิ่มพลเมืองและสร้างประเทศให้ก้าวหน้ามั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จุดอ่อนของไทยและสิงคโปร์ ในแง่การใช้ชีวิต น่าจะอยู่ที่ภูมิอากาศค่อนข้างร้อนตลอดปี ซึ่งคิดว่ามีส่วนทำให้เกิดความหงุดหงิดได้ง่าย และทำให้กิจกรรมหลายอย่างนอกอาคารไม่รื่นรมย์
ในฐานะคนไทยเป็นนักลงทุน ผมคิดว่าแม้ว่าเรามีปัญหาความขัดแย้งมากมายในสังคม การเมืองและความคิดเรื่องกำหนดกฎเกณฑ์ทางด้านกฎหมายและเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย จนหลายคนอาจรู้สึกว่าไทยนั้น มี “ความเสี่ยงของประเทศ” ค่อนข้างสูง แต่ผมยังคิดว่านับจนถึงวันนี้ ไทยยังไม่เคยหลุดเข้าไปอยู่ใน “แดนสนธยา” ที่นักลงทุนหรือคนสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง ซึ่งส่งเสริมให้ประเทศก้าวหน้าในแนวทางทุนนิยม ไม่สามารถเติบโตอย่างมั่นคงได้
ผมได้แต่หวังว่าประเทศไทยจะยังรักษาสถานะแบบนี้ต่อไปได้อีกยาวนาน และตราบใดที่ยังเป็นแบบนั้น ผมเองอยากจะบอกความรู้สึกของผมว่า ผม Appreciate ประเทศไทยอันเป็นที่รัก ที่ทำให้ผมมีวันที่ดีๆ เช่นในวันนี้ในฐานะของนักลงทุน
No comments:
Post a Comment