ถ้าจะถามผมว่าหลักการเลือกหุ้นที่สั้นที่สุดของผมคืออะไร คำตอบมีแค่ 3 คำ “หาผู้ชนะ” ความหมายคือ การที่จะเลือกหุ้นลงทุน.สิ่งที่ผมพิจารณามากที่สุดคือ อยากได้บริษัทที่จะเป็นผู้ชนะในการขายผลิตภัณฑ์เหนือคู่แข่งทั้งหมด ยิ่งชนะมากยิ่งดี พูดง่ายๆ คนเลือกผลิตภัณฑ์ของเรามากกว่าคู่แข่งมาก หรือคนเลือกที่จะเข้าร้านของเรามากกว่าร้านคู่แข่งมาก ลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์หรือใช้บริการของเราด้วยความเต็มใจ เนื่องจากสินค้าของเราดีกว่าและมีคุณค่ามากกว่าสำหรับเงินแต่ละบาทเมื่อเทียบกับคู่แข่ง
ผมต้องการลงทุนในบริษัทที่กำลังชนะ บริษัทที่ชนะแล้วและจะชนะต่อไปอีกนาน พูดแบบวิชาการหน่อยคือ ผมชอบบริษัทที่มีการตลาดดีเยี่ยมและเหนือกว่าคู่แข่งมาก ผมชอบบริษัทที่คู่แข่งไม่มีทาง “ตามติด” บริษัทของเรา ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม รวมถึงเหตุผลที่ว่า “มันไม่คุ้มที่จะทำ” เนื่องจากยอดขายอาจจะไม่สูงพอ ซึ่งทำให้บริษัทเราจะ “ทิ้งห่าง” เขาเพิ่มขึ้นไปอีก
แน่นอนว่าผมคงไม่ได้ดูเฉพาะเรื่องของการขายหรือการตลาด ผมยังอยากเห็นการผลิตหรือให้บริการที่ดีเยี่ยมของบริษัทที่อยากลงทุน ถ้าเป็นการผลิตหรือเป็นสินค้า ผมอยากจะดูว่ามาตรฐานของสินค้าดีแค่ไหนหรืออร่อยแค่ไหนหรือสะอาดพอไหม หีบห่อสวยงามและแข็งแรงพอหรือเปล่า ถ้าเป็นธุรกิจบริการโดยเฉพาะที่ผมสามารถใช้บริการได้ ผมอยากจะเห็นบริการรวดเร็วถูกต้อง พนักงานมีสีหน้ายิ้มแย้มเต็มใจให้บริการ คิดว่าถ้าการตลาดดีเยี่ยม แต่การผลิตหรือให้บริการไม่ดี ในอนาคตความนิยมของลูกค้าจะค่อยๆตกลง และคู่แข่งจะเข้ามาแทนที่บริษัทได้
เรื่องของการเงินเองนั้น ผมอยากจะเห็นบริษัทมีฐานะทางการเงินดี มีหนี้กู้ยืมน้อยๆหรือไม่มีเลย ถ้าบริษัทมีเงินสดมากก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก บริษัทที่มีฐานะทางการเงินดี ผมคิดว่าจะสามารถทนทานต่อภาวะวิกฤติ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ก็สามารถฉวยโอกาสซื้อหรือขยายกิจการ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท
กระบวนการหาผู้ชนะนั้น เราจะต้องเริ่มต้นด้วยการดูว่าอะไรเป็นปัจจัยแข่งขันหรือการต่อสู้ของบริษัทกับคู่แข่ง ซึ่งทำให้เราต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าใครคือคู่แข่งของบริษัทจริง ๆ เพราะบ่อยครั้งเราอาจจะคิดผิดหรือมองไม่ครบก็ได้ ตัวอย่างเช่น ร้านเครือข่ายสะดวกซื้อสมัยใหม่นั้น คู่แข่งนอกจากจะเป็นเครือข่ายร้านสะดวกซื้อด้วยกันแล้ว ยังรวมถึงร้านโชห่วยที่มีอยู่นับแสน ๆ รายทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังมีคู่แข่งแบบอ้อมๆ ที่เป็นร้านแบบ “มินิมาร์ท” ที่อาจจะขายอาหารสดด้วย เมื่อพบคู่แข่งชัดเจนแล้ว สิ่งที่จะต้องมองคือ อะไรคือปัจจัยที่จะทำให้ชนะในการต่อสู้แข่งขัน ?
โดยทั่วไปแล้ว สิ่งสำคัญที่จะทำให้ได้ชัยชนะนั้น คือตัวผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ หรือแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้มากกว่า หรือเป็นสิ่งที่ลูกค้าชอบมากกว่า แต่ในภาวะปัจจุบันการผลิตก้าวหน้าขึ้นมาก การมีสินค้าที่เด่นกว่าคู่แข่งจริงๆทำได้ยาก ปัจจัยสำคัญกว่าอาจเป็นเรื่องของการสร้างภาพพจน์ ให้คนรู้สึกว่าอยากใช้หรือบริโภคสินค้าผ่านโฆษณา อาจมีความสำคัญมากกว่า นอกจากเรื่องของภาพพจน์แล้ว การจัดจำหน่ายเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน สินค้าที่มีช่องทางขายมากกว่า หรือมีพื้นที่ในชั้นวางของของห้างร้านมากกว่า จะได้เปรียบและเป็นปัจจัยการแข่งขันที่สำคัญ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้เป็นหน้าที่ที่เราจะต้องวิเคราะห์ให้ออก และลงความเห็นว่าใครจะเป็นผู้ชนะ และใครจะเป็นผู้แพ้
ด้านของบริษัทหรือธุรกิจการบริการเองนั้น ปัจจัยการแข่งขันอาจจะแตกต่างออกไปจากธุรกิจของสินค้า โดยหลักการคือ บริษัทสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีที่สุด จะได้เปรียบและมีโอกาสเป็นผู้ชนะสูงกว่า ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นธุรกิจขายความสะดวกในการซื้อสินค้าเล็กๆน้อยๆ ซึ่งมักจะรวมถึงอาหารหรือน้ำดื่ม บริษัทที่สามารถให้บริการได้ครบถ้วนและอยู่ใกล้กับลูกค้ามากที่สุดจะได้เปรียบในการแข่งขัน หรือกรณีของการขายสินค้าราคาถูก บริษัทหรือร้านที่สามารถเสนอสินค้าที่มีราคาถูก และอยู่ไม่ไกลเกินไปก็จะมีโอกาสเป็นผู้ชนะ เป็นต้น
ธุรกิจแต่ละอย่าง อาจมีปัจจัยการแข่งขันไม่เหมือนกัน หน้าที่ของเราคือ กำหนดให้ได้ว่าปัจจัยนั้นคืออะไร เสร็จแล้วดูว่าบริษัทที่กำลังแข่งขันกันนั้นใครมีทรัพยากรมากที่สุดและเขาได้ใช้ทรัพยากรนั้นในการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน กฎการแข่งขันคือ ใครมีทรัพยากรมากกว่า และทุ่มเข้าไปในจุดที่เป็น “สนามรบ” อย่างถูกต้องมีโอกาสที่จะชนะสูงกว่า เราเองต้องคอยสังเกตประสิทธิผลของปัจจัยต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้ ถ้าเราเป็นคนใช้บริการอยู่ด้วยเป็นประจำ เราอาจจะมีข้อมูลนี้ ถ้ารู้สึกพอใจมากกับสินค้าหรือบริการ และเห็นถึงการตอบรับของลูกค้ารายอื่นๆจำนวนมาก แบบนี้อาจเป็นตัวบอกว่าในที่สุดบริษัทนี้น่าจะเป็นผู้ชนะ ว่าที่จริงถ้าเราทำไปเรื่อย ๆ จนชำนาญ ถึงวันหนึ่งเราจะสามารถบอกได้จาก “ความรู้สึก” ว่า บริษัทไหนหรือสินค้าไหนจะเป็นผู้ชนะ
ผมเองตั้งแต่กลายเป็นนักลงทุนแบบ VI ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้ชนะและเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่แนวซูเปอร์สต็อกนั้น ผมได้สร้างนิสัยส่วนตัวสำคัญสุดอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรในสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและหุ้น ผมมักจะต้องวิเคราะห์ถึงการแข่งขันหรือ “สงคราม” ผมจะดูว่าในแต่ละเรื่องใครกำลัง “แข่งขัน” หรือ “รบ” กับใคร ปัจจัยอะไรเป็นตัวที่จะชี้ขาดว่าใครจะชนะ และที่สำคัญ ทรัพยากรของใครมีมากกว่าและเขาใช้มันถูกต้องหรือไม่ เสร็จแล้วผม “ลงความเห็น” ว่าใครน่าจะชนะ ทั้งหมดนี้ ผมต้องศึกษาประวัติศาสตร์ในแต่ละเรื่องด้วยว่า ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในที่อื่น โดยเฉพาะในต่างประเทศมันเป็นอย่างไร เพราะประวัติศาสตร์นั้นมีพลังสูงมาก มันบอกว่าแนวโน้มในอนาคตของบ้านเราจะเป็นอย่างไร
นิสัยการ “หาผู้ชนะ” ของผมนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ผมรู้สึกสนุกกับการทำนายว่า ใครจะชนะ? ไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่องธุรกิจหรือหุ้น ผมดูทุกอย่างตั้งแต่การเมืองว่าพรรคไหนหรือกลุ่มไหนจะชนะ เรื่องของสถานศึกษาว่าโรงเรียนไหนหรือมหาวิทยาลัยไหน จะโดดเด่นขึ้นและแห่งไหนจะตกต่ำลง บางทีมองถึงเรื่องของประเทศต่างๆในโลกว่า ประเทศไหนจะรุ่งเรืองประเทศไหนจะค่อยๆดับลง ไล่ไปจนถึงว่าดาราคนไหนของไทยจะดังมากกว่าคนอื่นและดังในด้านไหนเช่น เป็นต้น
ดาราที่โดดเด่นในด้านของการเป็น ดาราเซ็กซี่หรือเป็นแบบไทย ๆ หรือเป็นแบบน่ารักแบบวัยรุ่นต่างๆเหล่านี้ ถ้าจะถามว่ามีประโยชน์อะไรกับการลงทุน โดยเฉพาะในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับหุ้นโดยตรง คำตอบผมคือ หลายๆเรื่องคงไม่เกี่ยว แต่อดไม่ได้ที่จะคิดเพราะมันเป็นนิสัยติดตัวไปแล้ว อย่างไรก็ตาม หลายๆเรื่องอาจจะเกี่ยวข้องในระดับภาพใหญ่ของการลงทุน เช่น ความก้าวหน้าของไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต? นี่เป็นเรื่องที่เราต้องคิดเพราะมันกระทบกับบริษัทที่เราลงทุนในระยะยาว เช่นเดียวกับเรื่องของการเมืองการปกครองที่สำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงของประเทศ และบริษัทที่เราลงทุนเช่นเดียวกัน
เขียนจนเกือบถึงบรรทัดสุดท้ายแล้ว ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ ชาร์ลี มังเกอร์ หุ้นส่วนสำคัญของบัฟเฟตต์ที่พูดว่า ความรู้ในการลงทุนนั้นมาจากหลากหลายวิชา เราต้องเอามาสอดประสานกัน เพื่อที่จะได้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่จะนำไปสู่การลงทุนที่ดี ผมเองคิดว่า นี่คงเป็นสิ่งที่ชาร์ลีแนะนำ
No comments:
Post a Comment