Thursday, February 9, 2012

หุ้นที่ผมชอบที่สุด

ตำนานบทหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญมากของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ การที่เขาซื้อหุ้นลงทุนในบริษัท GEICO Corporationที่ ถือหุ้นบริษัทประกันภัยชื่อ Government Employees Insurance Company (GEICO) เหตุผลก็เพราะว่า นี่เป็นบริษัทแรกๆ ที่บัฟเฟตต์เข้าลงทุนตั้งแต่เริ่มลงทุนใหม่ๆ ด้วยเม็ดเงินส่วนใหญ่ของเขาขณะนั้น พูดง่ายๆ ว่าเป็นการ "ตีแตก" หุ้นตัวแรกๆ ในชีวิตการลงทุนของเขา และตั้งแต่นั้นมา เขาก็ลงทุนในหุ้นประกันภัยจำนวนมากจนกลายเป็น "ธุรกิจหลัก" ในพอร์ตการลงทุนของบัฟเฟตต์

ตำนานนั้นเล่าว่า เมื่อบัฟเฟตต์เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในปี 1950 เขาพบว่าอาจารย์ เบน เกรแฮม ซึ่งสอนวิชาการลงทุนของเขา เป็นกรรมการของบริษัท GEICO ซึ่งนั่นกระตุ้นความสนใจของเขา ในวันสุดสัปดาห์หนึ่ง เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปกรุงวอชิงตันเพื่อเยี่ยมบริษัท วันนั้นเป็นวันเสาร์ เขาเคาะประตูสำนักงานและภารโรงได้พาเขาเข้าไปพบ Lorimer Davidson ผู้บริหารเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ในออฟฟิศในวันนั้น บัฟเฟตต์มีคำถามมากมายและ Davidson ใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงในการอธิบายให้บัฟเฟตต์เข้าใจถึงความโดดเด่นของ GEICO เมื่อเทียบกับบริษัทประกันภัยอื่นๆ

เมื่อบัฟเฟตต์เรียนจบกลับมาทำงานในบริษัทโบรกเกอร์ของพ่อที่บ้านเกิดใน เมืองโอมาฮา เขาได้เขียนบทวิเคราะห์แนะนำว่า GEICO คือ "บริษัทที่ผมชอบที่สุด" และแนะนำให้ลูกค้าลงทุน ส่วนตัวบัฟเฟตต์ เขาลงทุนซื้อหุ้น GEICO ถึง 10,000 ดอลลาร์ คิดเป็นเงิน 2 ใน 3 ของเงินที่เขามีทั้งหมด นักลงทุนจำนวนมากปฏิเสธที่จะซื้อหุ้นตัวนี้ตามคำแนะนำของเขา แม้แต่นายหน้าประกันภัยในเมืองโอมาฮา ก็ได้ร้องเรียนไปที่พ่อของบัฟเฟตต์ว่า ลูกของเขากำลังโปรโมทบริษัทประกันภัยที่ "ไม่มีนายหน้า" ด้วยความท้อแท้ใจ บัฟเฟตต์ได้ตัดสินใจขายหุ้น GEICO ในปีต่อมา เขาได้กำไร 50% และไม่ได้ซื้อหุ้นตัวนี้อีกจนกระทั่งปี 1976 และต่อมาในปี 1994 เขาก็ได้เข้าเทคโอเวอร์หุ้นทั้งหมดของบริษัท

ความโดดเด่นของ GEICO ก็คือ บริษัทขายประกันภัยรถยนต์ให้กับคนขับรถส่วนตัว ที่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่ำในการเคลมประกัน เช่น ข้าราชการ ทหาร และพนักงานสายวิชาชีพ หรือคนที่ทำงานด้านการบริหาร โดยที่การขาย จะเป็นการ "ขายตรง" ไม่มีนายหน้า แต่ผ่านจดหมาย ทำให้บริษัทไม่ต้องเสียค่านายหน้า ซึ่งเป็นต้นทุนใหญ่ถึง 10-25% ของเบี้ยประกัน ต้นทุนที่เซฟได้นี้ บริษัทจะ "ส่งคืน" ให้กับคนซื้อประกันโดยการลดค่าเบี้ยประกันภัยลง ผลก็คือ บริษัทได้ลูกค้ามาก ขณะเดียวกันต้นทุนด้านการเคลมประกันก็อยู่ในระดับต่ำ ทำให้บริษัทมีกำไรดี

ถ้ามองภาพใหญ่ก็คือ บริษัทเป็นผู้ขายสินค้า "โภคภัณฑ์" ที่เป็นผู้ผลิตที่มีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง จึงมีความได้เปรียบในการแข่งขัน แต่สิ่งที่จะทำให้บัฟเฟตต์ชอบมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ ธุรกิจประกันภัย บริษัทจะได้รับเงินสดที่เป็นเบี้ยประกันล่วงหน้าก่อนที่จะต้องจ่ายค่าเคลม ประกันในภายหลัง ทำให้บริษัทมีเงินสดที่เรียกว่า Float ซึ่งเป็นเงินที่บริษัทสามารถนำไปใช้ลงทุนได้โดยไม่มีดอกเบี้ย และผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนนี้ จะเป็นรายได้ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะถ้าลงทุนได้ผลตอบแทนดี

ตำนานของ GEICO น่าจะเป็นจุดเริ่มที่สำคัญที่นำบัฟเฟตต์มาจนถึงวันนี้ ประเด็นสำคัญก็คือ เขาค้นพบวิธีหาเงินลงทุนระยะยาวที่ไม่มีดอกเบี้ยได้มากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาขาดโดยเฉพาะช่วงต้นของชีวิตการลงทุน ประเด็นต่อมาคือเรื่องของ "โมเดลธุรกิจ" ที่โดดเด่นแตกต่างจากคู่แข่งซึ่ง GEICO กำหนดตนเองให้ได้เปรียบคู่แข่งได้จากการ "ไม่ทำตามสิ่งที่คนอื่นเขาทำกันเป็นปกติ" และประเด็นสุดท้าย น่าจะเป็นเรื่องของผู้บริหารที่ทุ่มเท รัก และเอาใจใส่กับงานเสมือนกับว่าตนเองเป็นเจ้าของ นั่นก็คือ Davidson ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้บริหารสูงสุดของ GEICO

การเป็น VI ผู้มุ่งมั่น บางทีอาจต้องมี "หุ้นที่ผมชอบที่สุด" อยู่ในใจหลังจากที่ลงทุนมาได้ระยะเวลาหนึ่ง หุ้นตัวนั้น แน่นอน ควรจะเป็นหุ้นที่เรา "ตีแตก" นั่นคือ เป็นหุ้นที่เราได้ทุ่มเงินลงทุนไปค่อนข้างมากเทียบกับขนาดของพอร์ตของเรา เราควรจะได้กำไรคิดเป็นเงินเป็นกอบเป็นกำขนาดที่อาจจะเรียกว่าเปลี่ยน "สถานะ" ของความมั่งคั่งของเราได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่นี่อาจจะไม่จำเป็น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าน่าจะอยู่ที่ว่า ให้บทเรียนที่สำคัญ และทำให้เราใช้ความรู้ในการลงทุนของเราต่อไปอีกนานแสนนาน ควรเป็นความรู้ที่ถูกต้อง และทำให้เรายึดถือการลงทุนตลอดไปได้ และกว้างพอที่จะครอบคลุมปัจจัยสำคัญทั้งหมดของการลงทุน

"หุ้นที่ผมชอบที่สุด" ไม่จำเป็นและอาจจะไม่ควรเป็นหุ้นที่เราได้กำไรสูงสุดคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือแม้แต่คิดเป็นเม็ดเงิน เพราะหุ้นประเภทนั้น อาจให้ผลตอบแทนสูงแต่มีความเสี่ยงสูง และผลตอบแทนที่ได้ อาจมาจากสถานการณ์บางอย่าง หรือได้มาโดยเหตุบังเอิญ หรือได้มาเพราะเราใช้มาร์จินและรับความเสี่ยงที่สูงเกินไป หุ้นที่ดีที่สุดในสายตาเรา ควรเป็นหุ้นของกิจการที่เราเห็นว่า มีโมเดลทางธุรกิจที่เราชอบ เป็นกิจการที่เราคาดการณ์ได้แม่นยำถึงอนาคตที่เรากำหนดไว้ เป็นหุ้นที่มีราคาที่เหมาะสม หรือถูกกว่าความเป็นจริงมากจากการประเมินของเรา และเมื่อเราตัดสินใจซื้อลงทุนแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาเกือบทุกอย่างเป็นไปตามคาด และมั่นใจว่าสิ่งที่เราคิด หรือวิธีการที่เราทำถูกต้อง นั่นคือ เรา "Right for the right reason" นั่นคือ เราได้กำไรจากสิ่งที่เราคิดว่าบริษัทจะเป็นจริงๆ ไม่ใช่ราคาหุ้นขึ้นมาสูงมากแต่มาจากเหตุผลอื่น ถ้า "หุ้นที่ผมชอบที่สุด" เป็นแบบนั้น ผมคิดว่า จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการกำหนดอนาคตของเราไปสู่ความสำเร็จ

ถ้า "หุ้นที่ผมชอบที่สุด" ถูกกำหนดขึ้นมาอย่างไม่เหมาะสม เช่น กำหนดขึ้นเพราะเราได้กำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น อาจจะเป็นหุ้นที่เปลี่ยนสถานะความมั่งคั่งของเราในชั่วข้ามคืน ซึ่งอาจทำให้เกิด "ความลำเอียง" ในการประเมินความถูกต้องของความคิดของเรา เราอาจจะคิดว่า เราคิดและเลือกหุ้นได้ถูกต้องทั้งๆ ที่เหตุผลในการที่หุ้นขึ้นอาจจะมาจากสาเหตุอื่นหรือเป็นเรื่อง บังเอิญ หรือที่เราเรียกว่า เรา "Right for the wrong reason" เราจะจำในสิ่งที่ผิด และอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในคราวต่อไป

"หุ้นที่ผมชอบที่สุด" เมื่อเวลาผ่านไป อาจจะมีหุ้นตัวใหม่ที่ขึ้นมาแทนตัวเดิม นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น อาจเป็นเครื่องแสดงว่า เรากำหนดหุ้นที่เราชอบง่ายเกินไป และถ้าเป็นอย่างนั้น ปัจจัยของหุ้นอาจไม่ได้ดีพอ หรือไม่อย่างนั้น อาจมีการซื้อขายเปลี่ยนตัวหุ้นมากเกินไป จนไม่ได้เจอกับหุ้นที่เป็นซูเปอร์สตาร์ของเราจริงๆ

บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 31 มกราคม 2555

No comments:

Post a Comment