สำหรับผม นักลงทุนมืออาชีพหรือคนที่ลงทุนเป็นเรื่องเป็นเรื่องเป็นราวและใช้เวลากับ การลงทุนค่อนข้างมากนั้น เป็นเหมือน “ศิลปิน” เช่นเดียวกับคนที่เป็น ดารา นักร้อง นักกีฬา นักเขียน นักวาดภาพ และศิลปินอื่น ๆ ลองมาไล่ดูว่าเหมือนกันอย่างไร
ข้อแรกก็คือ นักลงทุนก็เหมือนกับดารา (ต่อไปนี้ผมจะใช้คำว่าดาราเป็นตัวแทนศิลปินอื่น ๆ ทั้งหมด) ในแง่ที่ว่า ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนที่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวในการ “เล่น” หรือ “แสดง” หรือ “ทำมาหากิน” หรือสร้างชื่อเสียงและอื่น ๆ ความสามารถนี้เกิดจากการศึกษาในด้านของ “เบสิค” หรือพื้นฐานของวิชาความรู้ แต่ความสามารถในการกระทำนั้นเกิดจากการฝึกฝนและพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล
ข้อสอง ในแวดวงของดารานั้น มักมีการแบ่ง Character หรือบทบาทหรือ “ตัวตน” เฉพาะของแต่ละคน เช่น ในกลุ่มนักแสดงนั้นก็จะมีคนที่เชี่ยวชาญหรือรับบทบาทซึ่งอาจจะเกิดจากการ “สร้างภาพ” เป็นนางเอกแนว “หวาน” บางคนก็ “ครองตำแหน่ง” สาว “เซ็กซี่” ในใจของคนดู บ้างก็ไปแนวบู๊ บางคนหรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือบางคู่ก็ยึดแนว “แฟมมิลี่แมน” หรือคนรักครอบครัว คนที่มีคุณสมบัติบางอย่างไม่ครบที่จะเป็นตัวเอกก็มักจะหันไปเป็น “เพื่อนที่แสนดี” ของตัวเอก และบางคนยึดอาชีพ “ตัวร้าย” หรือบางคนเป็นไม่ได้ทั้งตัวเอกหรือตัวรองก็อาจจะยึดบทบาทเป็น “ตัวตลก” ทั้งหมดนั้น ต่างก็มีงานแสดงและสามารถ “ทำเงิน” ได้… อย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง
นักลงทุนนั้นก็เช่นกัน มีคุณสมบัติหรือยึดแนวการลงทุนหรือการเล่นหุ้นของตนหลากหลาย บางคนเน้นลงทุนเฉพาะในหุ้น “Super Stock” หรือหุ้นที่มีคุณสมบัติสุดยอด บางคนเน้นลงทุนหุ้น Blue Chip บ้างก็เล่นหุ้น “Cyclical” หรือหุ้นวัฏจักร บางคนชอบหุ้น “Turnaround” หรือหุ้นที่กำลังฟื้นตัวจากปัญหาทางธุรกิจ ถ้าเป็นพวก “VI ขนานแท้” ก็อาจจะเน้นหุ้นถูกประเภท PE และ PB ต่ำ และนักเล่นหุ้นตามห้องค้าจำนวนมากที่ชอบเล่นหุ้น “เก็งกำไร” ทั้งหมดนั้นต่างก็มักจะ “ทำเงิน” ได้… อย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง
ข้อสาม ถ้าพูดถึงเรื่องการทำเงิน อาชีพ “ดารา” และ นักลงทุน โดยรวมนั้น ก็คล้าย ๆ กับอาชีพอื่น ๆ นั่นก็คือ ไม่ใช่เป็นอาชีพที่ทำเงินดี โดยเฉพาะถ้าไปเปรียบเทียบกับอาชีพที่ต้องเรียนและฝึกฝนหนักอย่างแพทย์หรือ วิศวกร แต่สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนว่าอาชีพดาราเป็นอาชีพที่ทำเงินมากนั้นอาจจะ เป็นเพราะว่ามีดาราบางคนที่เป็น “ซุปเปอร์สตาร์” สามารถทำเงินได้มหาศาลจากการเป็นนางแบบหรือนายแบบโฆษณาซึ่งทำให้ได้เงินค่า จ้างปีละบางทีเป็นหลายสิบรวมกันหลายปีอาจจะเป็นร้อยหรือหลายร้อยล้านบาท แต่คนทั่วไปอาจจะไม่ได้ตระหนักว่า ยังมีดาราจำนวนมากที่ไม่ได้โดดเด่นและยังต้องทำงานแบบ “ปากกัดตีนถีบ” หาเงินแทบไม่พอใช้ ซึ่งเมื่อนำมาเฉลี่ยกับดาราที่มีรายได้มากแล้วทำให้อาชีพดาราโดยรวมแล้วไม่ ได้เป็นอาชีพที่ทำเงินสูงแต่อย่างใด
อาชีพนักลงทุนก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราฟังหรือดูผลงานการทำกำไรเฉพาะนักลงทุนระดับ “เทพ” เราก็อาจจะมี “ภาพ” ในใจว่า การลงทุนนั้นเป็นอาชีพที่ทำเงินมหาศาล ผลตอบแทนต่อปีน่าจะได้หลายสิบเปอร์เซ็นต์และคนสามารถรวยได้ง่าย ๆ จากการเป็นนักลงทุนหรือเล่นหุ้น การรวยเป็นสิบเป็นร้อยหรือแม้แต่เป็นพันล้านบาทเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก ว่าที่จริงก็มีคนทำได้มาไม่รู้จะกี่คนหลังจากที่ทำมาไม่นานนัก แต่นี่ก็เป็น “ภาพลวงตา” เพราะยังมีนักลงทุนและนักเล่นหุ้นอีกจำนวนมากที่เราไม่เห็นและไม่รู้จักที่ ทำผลตอบแทนการลงทุนได้น้อยมาก หลายครั้งก็ขาดทุนมหาศาล เมื่อเอาผลตอบแทนของคนเหล่านี้มาเฉลี่ยกับ “เทพ” ผลก็จะออกมาว่า อาชีพนักลงทุนโดยรวมนั้นไม่ได้หรูหราอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ข้อสี่ การเป็นนักลงทุนนั้น ก็เหมือนกับการเป็นดาราในแง่ที่ว่า มันไม่ได้มีความยุติธรรมหรือความเท่าเทียมกันสำหรับทุกคนที่เข้ามาเล่น ความสามารถนั้นก็เป็นปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดและ อาจจะไม่ถึงครึ่งของปัจจัยความสำเร็จในระยะยาวหรือตลอดชีวิต การเป็นดารานั้น บางทีการเกิดมาด้วยหน้าตาที่ไม่สวยหรือหล่อพอก็แทบจะปิดประตูสำหรับการเป็น ซุปเปอร์สตาร์แล้ว การลงทุนก็เช่นกัน คนที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย โอกาสที่จะมีพอร์ตใหญ่เหมือนกับ “ลูกเศรษฐี” ที่เริ่มต้นก็มีเงินลงทุนนับเป็นล้านหรือหลาย ๆ ล้านบาทก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การเป็นนักลงทุนหรือเป็นดารานั้น ถ้าจะให้มีความสุขก็คือต้องทำตัวแบบ “ศิลปิน” นั่นก็คือ พอใจและภูมิใจกับผลงานและความสำเร็จของตนเองโดยไม่ต้องไปสนใจกับคนอื่นมาก นัก
ข้อห้าที่ผมจะพูดเป็นข้อสุดท้ายก็คือ อาชีพนักลงทุนก็คล้าย ๆ กับอาชีพดารานั่นคือ มีความไม่แน่นอนสูง ในวันหนึ่งคุณอาจจะเป็น “เซเล็บ” หรือเป็นคนที่สังคมชื่นชมเป็นคนที่ฟู่ฟ่าเป็นที่กล่าวขวัญและจับตามอง แต่ความผิดพลาดในการทำงานและการ “วางตำแหน่ง” ที่ผิดพลาดก็อาจจะทำให้คุณตกต่ำลงได้ง่าย ๆ ดังนั้น การตระหนักในความจริงข้อนี้จะช่วยให้คุณรอดพ้นจากสถานการณ์แบบนั้นได้ดี ขึ้น แม้แต่ จอร์จ โซรอส เองก็เคยพูดว่า “I am not invincible” นั่นก็คือ เขาตระหนักตลอดเวลาว่า ในเรื่องของการลงทุนนั้น ต่อให้แน่แค่ไหนก็แพ้หรือตายได้เหมือนกัน
บทความนี้ลงในThaiVI.comเมื่อ 3 กรกฎาคม 2553
No comments:
Post a Comment