Value Investor นั้นก็เหมือนกับคนในวงการอื่น ๆ ที่มีทั้งนักลงทุนประเภท Aggressive หรือพวกที่ “ก้าวร้าว” กล้าได้กล้าเสีย ทำงานหนัก หนุ่มแน่น ซึ่งในบางช่วงบางสถานการณ์ อย่างเช่นในช่วงนี้ สามารถทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ หลายคนกลายเป็นเศรษฐีในเวลาไม่นาน กับอีกกลุ่มหนึ่งหรือที่จริงควรเรียกว่าอีกปีกหนึ่งที่เป็น VI ประเภท Conservative หรือนักลงทุนแนวอนุรักษ์นิยมที่เน้นความปลอดภัยในการลงทุนเป็นหลัก ไม่ชอบอะไรที่หวือหวาและอันตราย คนในกลุ่มนี้ชอบลงทุนในกิจการที่มีความแน่นอนของผลประกอบการของบริษัทแม้ว่า กิจการจะโตช้าและหลายกิจการอาจจะใกล้ที่จะอยู่ในอุตสาหกรรมตะวันตกดิน เกือบทั้งหมดชอบหุ้นถูกแม้ว่ามันจะถูกมานาน พวกเขามักจะเป็นคนที่มีอายุมากกว่าพวกแรกและหลายคนมีเงินไม่มากและเหลือ เฟือที่จะกล้าเสี่ยง ผลตอบแทนการลงทุนของพวกเขาดูเหมือนว่าจะไปแบบเนิบ ๆ ไม่หรูหราและอาจจะไม่เลวร้ายไม่ว่าในสถานการณ์ไหน
สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ ถ้าเราจะเป็น VI แบบ Aggressive นั้น หุ้นประเภทไหนที่เราจะเล่น หุ้นอะไรที่จะ “ทำเงินก้อนโต” ให้เราได้
หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นของกิจการที่มีผลประกอบการที่เป็นวัฎจักรรุนแรง นี่คือผู้ผลิตหรือให้บริการสินค้าที่เป็นโภคภัณฑ์ เช่น ปิโตรเคมีต่าง ๆ การเดินเรือและการบิน ผลิตภัณฑ์การเกษตรโดยเฉพาะที่หาสินค้าทดแทนได้ยากเช่น ยางพาราและไก่ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่ไม่ได้เป็นโภคภัณฑ์แต่ก็มีวัฎจักรที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินค้าคงทนที่คนสามารถเลื่อนการซื้อออกไปได้เช่น รถยนต์และบ้าน เป็นต้น การลงทุนในหุ้นกลุ่มวัฎจักรนี้ เราต้องรู้ว่าวัฎจักรกำลังเป็น “ขาขึ้น” ในขณะที่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนภาวะที่กำลังจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าการคาดการณ์ในเรื่องนี้ไม่ใช่ง่าย แต่ถ้าทำได้ถูกต้อง บ่อยครั้งจะได้กำไรงดงาม บางทีหุ้นขึ้นไปหลายเท่าในเวลาไม่กี่เดือน ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ทำให้ VI ที่เน้นการลงทุนในหุ้นวัฎจักรร่ำรวยไปหลายคน อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการลงทุนนั้น อะไรที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว คนที่มา “ทำซ้ำ” อาจจะช้าเกินไป
หุ้นกลุ่มที่สองคือ หุ้นเล็กที่ไม่มีใครเหลียวแล บางคนเรียกว่า “หุ้นเงา” นี่คือหุ้นที่มีขนาดค่อนข้างจะเล็กคืออาจจะมี Market Cap. หรือมูลค่าหุ้นทั้งบริษัทไม่ถึงพันล้านบาท แต่เป็นกิจการที่มีผลประกอบการที่กำลังดีขึ้นอย่างมากในระยะอาจจะสองสามปี ข้างหน้า และบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ทำอยู่ อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญก็คือ หุ้นเหล่านี้ที่จะวิ่งพรวดได้นั้นมักจะต้องมี “สปอนเซอร์” หรือถ้าจะใช้ภาษาการแข่งม้าก็คือ จะต้องมี “จ็อคกี้” ที่จะ “กระตุ้น” ให้หุ้นวิ่งไปได้มาก ๆ ซึ่งหนึ่งในนั้นมักจะต้องรวมถึงเจ้าของบริษัทที่จะต้องออกมา “เชียร์” หุ้นสม่ำเสมอ ดังนั้น การลงทุนในหุ้นเงาแบบนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงนอกจากผลประกอบการแล้ว จะต้องดูว่าในที่สุดจะมีใครเป็น “คนนำ” ในการขับเคลื่อนหุ้น
หุ้นกลุ่มที่สามก็คือ หุ้น “นางฟ้าตกสวรรค์” นี่คือหุ้นที่เคยเป็น “นางฟ้า” ของนักลงทุน เป็นหุ้นที่เคยร้อนแรง ราคาปรับตัวขึ้นไปหลายเท่าในเวลาอันสั้นและเหตุผลที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงมาก นั้นเป็นเพราะบริษัทกำลังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและเติบโตมาก นักลงทุนคาดหวังบริษัทไว้สูงมากและให้ราคาหุ้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ผลการดำเนินงานกลับไม่เป็นไปตามที่คาดด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา สร้างความผิดหวังและทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นทิ้งอย่าง “บ้าคลั่ง” เช่นเดียวกับในตอนที่เข้าซื้อหุ้น ผลก็คือ ราคาหุ้นตกต่ำมาติดดิน ประเด็นสำคัญในการซื้อหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ก็คือ เราจะต้องเห็นว่าบริษัทจะกลับมาเป็น “นางฟ้า” มีผลงานโดดเด่นได้เหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกับของเดิมและราคาหุ้นนั้นต่ำมาก เราไม่ต้องการซื้อหุ้นเพียงเพราะราคามันตกลงมามาก เราไม่ต้องการนางฟ้าที่ “ตกนรก” ไปแล้ว
กลุ่มที่สี่ หุ้นฟื้นจากภาวะล้มละลายหรือปัญหารุนแรงทางการเงินและธุรกิจ และจะต้องมีมูลค่าหุ้นต่ำมากเมื่อเทียบกับทรัพย์สินหรือขนาดของกิจการ การที่จะทำเงินก้อนโตจากหุ้นกลุ่มนี้นั้น จะต้องมั่นใจว่าเจ้าหนี้พร้อมที่จะยอมรับการปรับโครงสร้างหนี้และบริษัทมีคน สนใจที่จะเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมเพื่อกอบกู้บริษัท การเล่นหุ้นในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนถ้าคาดการณ์ได้ถูกต้องก็สูงมากเช่นเดียวกัน
กลุ่มที่ห้า หุ้นบลูชิพที่มีราคาตกต่ำลงมากเนื่องจากปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นครั้ง เดียว หรือตกต่ำลงเพราะปัญหาของภาพรวมเศรษฐกิจการเงิน นี่คือหุ้นของกิจการที่ใหญ่โต มั่นคง เก่าแก่ ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องยาวนาน มีฐานะทางการตลาดที่มั่นคงมาช้านานและแทบไม่มีคู่แข่งหน้าใหม่เข้ามาแข่ง ขัน หุ้นเหล่านี้มักจะโตช้า ๆ แต่จ่ายปันผลในอัตราที่น่าพอใจ ดังนั้น เมื่อเกิดสถานการณ์ที่หุ้นตกลงมาอย่างแรงเช่น อาจจะ 30-40% จากราคาปกติ การลงทุนในหุ้นแบบนี้ก็จะให้ผลตอบแทนมากด้วยความเสี่ยงต่ำ อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะเกิดสถานการณ์แบบนี้ก็มีไม่มากนัก
กลุ่มที่หก หุ้นซุปเปอร์สต็อก นี่คือการลงทุนในหุ้นที่มีคุณสมบัติ “สุดยอด” ในเกือบทุกด้านในขณะที่จุดอ่อนมีน้อย นั่นก็คือ เป็นกิจการที่เติบโตเร็วและจะเติบโตขึ้นไปอีกมากจากจุดที่เห็น การเติบโตนั้นเป็นการเติบโตที่หาคู่แข่งมาขัดขวางได้ยาก เส้นทางการเติบโตนั้นชัดเจนและได้รับการพิสูจน์แล้วว่าทำได้ ฐานะทางการเงินแข็งแกร่งเช่นเดียวกับการตลาดที่มีความได้เปรียบอย่างยั่งยืน หรือมี Durable Competitive Advantage หุ้นซุปเปอร์สต็อกนี้ ถ้าเลือกถูกต้องแล้ว ก็สามารถทำเงินก้อนโตได้ยาวนาน แต่ผลตอบแทนจะดีและปลอดภัยยิ่งขึ้นถ้าสามารถซื้อได้ในช่วงต้น ๆ ที่คนยังไม่ได้ตระหนักถึงสถานะของบริษัทหรือซื้อในช่วงที่มันประสบปัญหา บางอย่างทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าปกติ
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงหุ้นบางกลุ่มที่สามารถทำเงินก้อนโตให้กับ VI ได้ อย่างไรก็ตาม แต่ละกลุ่มที่กล่าวถึงนั้นก็มี “ดีกรี” การทำเงินมากน้อยต่างกันอยู่บ้าง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเรื่องของความเสี่ยง ซึ่งก็ยังแบ่งออกเป็นสองด้านคือ ความเสี่ยงที่การวิเคราะห์อาจจะผิดพลาดและความเสี่ยงที่ราคาหุ้นจะตกลงมามาก หรือน้อยถ้าเราวิเคราะห์ผิดหรือสถานการณ์เปลี่ยนไป ดังนั้น คนที่รักหรือเลือกที่จะเป็น VI ที่ Aggressive จะต้องระมัดระวังและจะต้องประเมินศักยภาพหรือฝีมือของตนเองให้ดีว่าเราจะ เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มไหน
บทความนี้ลงในThaiVI.comเมื่อ 24 กรกฎาคม 2553
No comments:
Post a Comment