Monday, October 24, 2011

จะซื้อหรือขายหุ้น


ในช่วงที่ตลาดหุ้น ตกลงมาอย่างหนักในช่วงเวลาสั้นๆ คนที่ไม่ได้ถือหุ้นอยู่ หรือถือไว้น้อยมาก ก็มักจะถามว่า “ซื้อหุ้นได้หรือยัง?”
คนกลุ่มนี้มักจะเป็นนัก เล่นหุ้นสมัครเล่น  และเป็นคนมีเงินที่พร้อมเข้าไปเสี่ยงเก็งกำไรจากตลาดหุ้นเป็นครั้งคราว  กลยุทธ์ของเขา ก็คือ  ช้อนซื้อหุ้นในช่วงที่มันตกต่ำเพราะตลาดเกิด  “แพนิค”  นั่นคือ  นักลงทุนตกใจจากภาวะน่ากลัวทางเศรษฐกิจและเทขายหุ้นอย่างหนัก  ทำให้ดัชนีปรับตัวลงแรง  ความเชื่อของพวกเขา ก็คือ  เมื่อหุ้นตกลงมาแรง   มันก็มักจะ  “กระเด้ง”  กลับขึ้นไปอย่างแรงเช่นกัน  ดังนั้น  เขาอยากรู้ว่าดัชนีที่ตกต่ำลงมามากในระยะเวลาอันสั้นนั้น  ถึง  “พื้น” หรือยัง  ถ้าผมตอบว่า  “หุ้นมันก็ลงมามากน่าสนใจแล้ว-ถ้าถือไปสัก 2-3 ปี”  เขาก็จะเข้าไป “ช้อน” ซื้อหุ้นทันที

เกณฑ์ที่ผมใช้ในการให้คำแนะนำที่  “จำเป็น”  ต้องทำนี้ ก็คือ  ผมจะดูว่าดัชนีหุ้นได้ตกลงมามากน้อยแค่ไหน-จากต้นปี   ผมเองไม่เคยจำดัชนีสูงสุดในระหว่างปีได้และก็ไม่สนใจดูด้วยเพราะผมชอบมอง ระยะยาวมากกว่า  ถ้าผมพบว่าหุ้นได้ตกลงมามากพอสมควรนับจากต้นปี  ผมก็คิดว่าความเสี่ยงในการเข้าไปลงทุนก็น่าจะน้อยลง  อย่างไรก็ตาม  นี่จะต้องประกอบกับการดูย้อนหลังไปอย่างน้อย 2-3 ปีด้วยว่า  ดัชนีมีการปรับตัวขึ้นหรือลงมากน้อยแค่ไหน  ถ้าหุ้นติดลบมาต่อเนื่องกัน  ผมก็จะรู้สึกว่าความเสี่ยงในการเข้าไปซื้อหุ้นก็น่าจะลดลงไปอีก  แต่ถ้า 2-3 ปีนั้น  หุ้นได้ขึ้นมามากอย่างที่เป็นอยู่  ผมก็จะระวังมากขึ้น  ลึกๆ  แล้ว ผมคิดว่าถ้าสิ้นปีนี้  ดัชนีต่ำกว่าสิ้นปีที่แล้วบ้าง  ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติ  ดังนั้น  การที่ดัชนีหุ้นในช่วงนี้ต่ำกว่าเมื่อตอนต้นปีประมาณ 10%  มันก็ไม่น่าจะบอกได้ว่าหุ้นในขณะนี้มีราคาต่ำมากมายอะไรนัก แม้ว่ามันจะตกลงมากว่า 20% แล้วถ้านับจากกลางปี  เหนือสิ่งอื่นใด  สถิติหุ้นไทยนั้น  ในเวลา 10 ปี  หุ้นจะขึ้นประมาณ 6 ปี  และหุ้นจะตกประมาณ 4 ปี

นอกจากเรื่องของผลตอบแทนที่ผ่านมาทั้งปีปัจจุบันและปีย้อนหลัง 2-3 ปีแล้ว   ผมยังดูด้วยว่าดัชนีที่ตกลงมามากนั้น  ทำให้ค่า PE  ค่า PB  และผลตอบแทนจากปันผลจะเป็นเท่าไร  ถ้าค่า PE และค่าอื่นๆ  นั้น ชี้ว่าหุ้นในตลาดโดยเฉลี่ยไม่แพง  ผมก็จะถือว่าความน่าสนใจในการซื้อหุ้นน่าจะอยู่ในระดับกลางๆ

ขณะเดียวกัน เรื่องของค่าความถูกความแพงของตลาดที่วัดด้วย PE และค่าอื่นๆ  แล้ว  ผมยังต้องดูสภาวะทางเศรษฐกิจการเงินของโลกและประเทศไทยด้วยว่าจะเป็นอย่างไร ในช่วง 1-2 ปีที่จะมาถึง  ถ้าสภาวะไม่ดีและมีความเสี่ยงสูงที่จะเลวร้ายลงมากโดยเฉพาะกับเศรษฐกิจไทย   ความเสี่ยงของการลงทุนซื้อหุ้นก็จะสูงขึ้น   แต่ถ้าผมมั่นใจว่าอย่างไรเสียเศรษฐกิจไทยก็น่าจะยังดีอยู่พอสมควรแม้ว่า เศรษฐกิจต่างประเทศอาจจะไม่ดีนัก  แบบนี้  การที่หุ้นตกเพราะคนกลัวภาวะเศรษฐกิจโลก ก็อาจจะเป็นโอกาสของการเข้าไปช้อนซื้อหุ้นได้

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นก็เป็นเรื่องของคนที่ไม่ค่อยมีหุ้นอยู่ในมือและก็ มักจะไม่ใช่คนที่มุ่งมั่นหรือทุ่มเทกับการลงทุนมากนัก  แต่สำหรับคนที่ถือหุ้นอยู่มากและเอาจริงเอาจังกับการลงทุนคำถามก็มักจะกลับ กันว่าการที่หุ้นตกหนักมากนั้น  เขาควรขายหุ้นหรือเปล่า เพื่อลดการสูญเสีย  เขาควรรักษาเงินสดเอาไว้เพื่อรอกลับมาซื้อหุ้นที่จะตกต่ำและถูกลงไปอีกหรือ ไม่  พวกเขาคิดว่าสภาวการณ์เศรษฐกิจที่เลวร้ายในต่างประเทศอาจจะทำให้เศรษฐกิจไทย ถดถอยลง   และนั่นจะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและทำให้หุ้นตกลง  ดังนั้น  แม้ว่าค่า PE ตลาดในปัจจุบันอาจจะไม่สูง  หุ้นราคาไม่แพง  แต่ในอนาคตค่า PE  ก็จะสูงขึ้นเพราะค่า E หรือกำไรจะลดลง  ถ้าเป็นแบบนี้หุ้นก็จะตกลงไปอีก  ดังนั้น  ทางออกที่ดีกว่า ก็คือ  ขายหุ้นทิ้ง  อย่างน้อยก็บางส่วนเพื่อลดความเสี่ยงลง  และเมื่อหุ้นตกต่ำถึง “พื้น” แล้วค่อยคิดซื้อหุ้นคืนภายหลัง

ประเด็น ก็คือ  เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดการณ์ได้ถูกต้องว่าหุ้นที่ได้ปรับตัวลงมาอย่างหนัก แล้ว  จะตกลงต่อไป  ประสบการณ์ในทุกครั้งที่มีเหตุการณ์  “วิกฤติ”  และทำให้หุ้นตกลงมารุนแรงนั้น  ก็จะมีช่วงเวลาที่หุ้นจะ “กระเด้ง”  ขึ้นมารุนแรงเป็นช่วงๆ  และก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าหุ้นจะขึ้นไปเลยหรือจะตกลงไปใหม่อีก  ที่ยิ่งยากไปกว่านั้น ก็คือ  หุ้นตัวที่เราถืออยู่อาจจะมีพฤติกรรมการขึ้นลงแตกต่างจากภาวะตลาดโดยรวม ด้วย  นั่นคือ  หุ้นตัวที่ถืออยู่อาจจะแย่หรือดีกว่าตลาด  ทำให้การวิเคราะห์ภาวะตลาดได้ถูกต้องนั้น  ไม่มีประโยชน์  เช่น  ดัชนีตลาดอาจจะลงต่อ  แต่หุ้นที่เราถืออยู่บางตัวอาจจะปรับตัวขึ้นไปแล้ว  ดังนั้น  ถ้าเราขายหุ้นไปโดยหวังว่าหุ้นจะลงแล้วเราเข้าไปซื้อกลับมาก็จะเป็นการ ตัดสินใจที่ผิดพลาด

สุดท้าย  สำหรับคนที่มีหุ้นจำนวนหนึ่งและก็มีเงินสดที่พร้อมจะลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มเติม ได้  สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็คือ  เขาอาจจะอยากถามว่า  เขาควรขายหุ้นที่มีอยู่หรือซื้อหุ้นเพิ่มดี  คำถามของเขาก็คงมาจากความคิดว่าหุ้นในขณะนั้น  ถูกหรือแพง  และคำตอบ ก็คือ  เขาไม่มั่นใจ  แต่ละวันที่ผ่านไปเขาอาจจะพยายามประเมินด้วยความกระสับกระส่ายเมื่อเห็นราคา หุ้นที่เคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว  วันหนึ่งเขาอาจจะนึกอยากขาย  แต่อีกวันหนึ่งก็คิดว่าเขาควรจะซื้อเพิ่ม  เขาอยากฟังคำแนะนำหรือความคิดเห็นของคนที่เขานับถือว่ามีความสามารถและ เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์และลงทุนในตลาดหุ้นแต่ความเห็นของแต่ละคนก็ยังไม่ สอดคล้องกัน   สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจขายเพื่อ “ลดความเครียด” โดยการขายหุ้นทิ้ง

ความเห็นของผมสำหรับคนที่ยังคิดไม่ออกหรือตัดสินใจไม่ถูกว่าจะซื้อหรือ ขายหุ้นดี  ก็คือ  เราควรอยู่เฉยๆ   เพราะการที่เราคิดไม่ออกระหว่างการซื้อหรือขาย   นั่นอาจจะแปลว่า  ราคาหุ้นอาจจะ “ก้ำกึ่ง”  มากระหว่าง  “ถูกหรือแพง”   นั่นแปลว่า หุ้นคงไม่มี  Margin of Safety หรือส่วนต่างของความปลอดภัยในกรณีที่เราจะซื้อ  ดังนั้น  การซื้อคงไม่ใช่กลยุทธ์ที่ถูกต้อง   เช่นเดียวกัน  การขายในช่วงที่ตลาดกำลังแพนิคนั้น  ตามประสบการณ์ของผม  มักเป็นการขายที่แย่หรือได้ราคาที่ต่ำที่สุด  เพราะถึงแม้ว่าตลาดยังมีแนวโน้มที่จะลงอยู่  แต่ในระยะสั้นๆ  บ่อยครั้งหุ้นมักกระเด้งกลับขึ้นมาให้เราได้ขายในราคาที่ดีกว่าวันที่หุ้นตก รุนแรงแบบคนตื่นตูม  มันจึงไม่ใช่เวลาที่ควรขาย 

สรุปแล้ว  ถ้าเรายังคิดไม่ออกว่าเราควรขายหรือซื้อหุ้น  เราก็ควรจะอยู่เฉยๆ   ในตลาดหุ้นนั้น  ไม่มีใครบังคับให้เราต้องตัดสินใจ  ยกเว้นในกรณีที่เราใช้มาร์จินในการซื้อหุ้นและหุ้นของเราถูกบังคับขายเพราะ ราคาตกลงมามาก    ซึ่งในกรณีนั้น  มันก็มักจะเป็นหายนะ  และนี่ก็เป็นอีกคำแนะนำหนึ่งของผมว่า  ในยามที่หุ้นมีความผันผวนและอาจจะมีโอกาสเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้น  อย่าใช้มาร์จิน  และถ้าเรามีเงินกู้มาร์จินอยู่  จงลดมาร์จินให้หมด

บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 11 ตุลาคม 2554

No comments:

Post a Comment