การวิเคราะห์หุ้น เราต้องวิเคราะห์ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มักเริ่มจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณก่อน นั่นคือ เขาจะดูตัวเลขผลประกอบการและฐานะการเงินของบริษัทว่าเป็นอย่างไร ถ้าดูไม่ดีโดยเฉพาะปีล่าสุด เขาอาจเลิกสนใจไปเลย ถ้าดูดี หรือดีมาก เขาจะศึกษาต่อทางด้านคุณภาพ นั่นก็คือ ดูว่าบริษัทขายอะไร สินค้าโดดเด่นไหม แนวโน้มราคาสินค้า หรือบริการเป็นอย่างไร บริษัทอยู่ในตำแหน่งไหนของอุตสาหกรรม เป็นต้น แต่สำหรับผม ผมมักจะเริ่มต้นวิเคราะห์เชิงคุณภาพก่อน เริ่มจากการมองด้านการตลาดและต่อเนื่องไปด้านต่างๆ โดยเฉพาะความได้เปรียบเชิงแข่งขันของกิจการเทียบกับคู่แข่ง เมื่อสนใจแล้ว ผมจึงเริ่มวิเคราะห์ด้านปริมาณ และตัวเลขทางการเงินที่ผมจะดูก่อนเลย ก็คือ ตัวเลขสรุปข้อมูลทางการเงินที่สำคัญ 4-5 ปี ย้อนหลัง ที่มีอยู่ในเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ set.or.th ของบริษัทจดทะเบียนทุกบริษัท และต่อไปนี้ คือ การแนวการวิเคราะห์ของผม
ตัวเลขตัวแรกที่ผมสนใจมาก ก็คือ กำไรสุทธิ สิ่งที่ผมมอง ก็คือ ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา กำไรของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ากำไรของบริษัทนั้น "ลุ่มๆ ดอนๆ" นั่นคือ บางปีก็กำไร บางปีก็ขาดทุน แบบนี้อาจบอกได้ว่า กำไรของบริษัท "คาดการณ์ได้ยาก" ดังนั้น อนาคตกำไรของบริษัทคงไม่แน่นอน อาจจะกำไร หรือขาดทุนได้ ลักษณะแบบนี้ผมจะรู้ว่า การหามูลค่าที่แท้จริงทำได้ยากมาก บ่อยครั้งผมมักจะปล่อย "ผ่าน" ไป ถ้ากำไรบริษัทมีความผันผวนพอสมควรทีเดียว แต่ก็ยังกำไรอยู่ทุกปี แบบนี้ผมจะดูว่าปีที่แย่ที่สุดเป็นอย่างไร ถ้าพบว่าปีที่แย่ก็ยังได้กำไรคิดแล้วเท่ากับ 10% ของ Market Cap. หรือของมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งหมดในปัจจุบัน แบบนี้ ผมคิดว่าหุ้นของบริษัทอาจยังน่าสนใจ เพราะถ้าในอนาคตกำไรไม่ต่ำกว่านั้น การลงทุนซื้อหุ้นของผมในวันนี้ยังทำผลตอบแทนได้ 10% ต่อปี ซึ่งไม่เลวนัก
ถ้ากำไร 4-5 ปีย้อนหลังที่ผมเห็น มีความ "สม่ำเสมอ" คือ ขึ้นลงในระดับ 10-20% แบบนี้ ผมจะสรุปว่ากำไรของบริษัทในอนาคต น่าจะพอ "คาดการณ์ได้" ผมก็จะศึกษาต่อไปว่ามูลค่าพื้นฐานของหุ้น น่าจะเป็นเท่าไร โดยอาจเทียบกับกำไรล่าสุดที่ผมเห็น ถ้ากำไรสม่ำเสมอนั้น เป็นกำไรที่ไม่ค่อยจะเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ปีแรกสุดจนถึงปีสุดท้าย ที่แสดงในตาราง ผมมักจะสรุปว่าเป็นหุ้นของกิจการที่อาจจะ "โตช้าหรือไม่โต" แบบนี้มูลค่าพื้นฐานที่ผมจะให้ก็จะต่ำ เช่น อาจให้มูลค่าพื้นฐานไม่เกิน 10 เท่าของกำไรของปีล่าสุดที่ผมเห็น แต่ ถ้ากำไร 5 ปีย้อนหลังที่ผมเห็น มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจ เช่น เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 15-20% แบบนี้ผมอาจจะบอกตัวเองว่า อาจจะเป็นบริษัทที่ กำลังโตเร็ว ถ้าเป็นแบบนี้ ผมจะให้มูลค่ากับหุ้นสูงกว่าหุ้นที่ไม่โตมาก อาจจะให้มูลค่าเท่ากับ 15-20 เท่าของกำไรของปีล่าสุดก็ได้
ตัวเลขตัวสำคัญต่อมาที่ผมจะดู ก็คือ ค่า ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ถ้าตัวเลขนี้ในทั้ง 4-5 ปีที่ผ่านมาต่ำกว่า 10% ต่อปี ผมจะบอกตัวเองว่า บริษัทนี้กำไรไม่ดี เป็นบริษัทที่มีคุณค่าค่อนข้างน้อยในเชิงธุรกิจ บริษัทไม่ควรลงทุนขยายงานเพิ่ม เพราะทำไปก็ไม่คุ้ม ถ้ามีเงินสดเหลือ ควรจ่ายเป็นปันผลให้กับผู้ถือหุ้นมากกว่า แต่ถ้าค่า ROE ของบริษัทสูงเกิน 15% ทุกปี หรืออาจจะสูงเกิน 20% ทุกปี แบบนี้แสดงว่า เป็นธุรกิจที่ดีมาก เพราะทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นสูงกว่าการลงทุนอื่นของผู้ถือหุ้นเอง และสูงกว่าต้นทุนการเงินของบริษัท ผมจะต้องดูเพิ่มว่า ROE ที่สูงนี้ ไม่ได้เป็นเพราะบริษัทมีหนี้เงินกู้จากธนาคารสูงเกินไปด้วย
ตัวเลขสำคัญตัวที่สาม ก็คือ อัตรากำไรสุทธิคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย ตัวเลขนี้ในแต่ละอุตสาหกรรมจะแตกต่างกัน เช่น ถ้าเป็นผู้ค้าปลีก ตัวเลขอาจจะอยู่ที่เพียง 3-5% แต่ธุรกิจเช่น โรงแรม อาจจะสูงถึง 20% เหตุผลสำคัญ คือ ผู้ค้าปลีกมักมียอดขายสูง ดังนั้น กำไรเพียง 3% ก็ได้กำไรมากแล้ว ขณะที่โรงแรม ยอดขายมักจะต่ำเมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้สร้างโรงแรม Profit Margin ก็ต้องสูงจึงจะคุ้ม ประเด็นสำคัญของตัวเลขนี้ ก็คือ ถ้าอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแล้ว บริษัทที่มี Margin สูงกว่าก็มักจะแสดงว่าเป็นบริษัทที่มีคุณสมบัติหรือคุณภาพที่สูงกว่า พูดง่ายๆ มี Value สูงกว่า นอกจากตัวเลขรายปีแล้ว แนวโน้มของตัวเลขนี้ มีความสำคัญมาก ถ้า Profit Margin ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทุกปี เช่น ปีแรกเป็น 4% ต่อมาเป็น 4.2% และถึงปีสุดท้ายหรือปีล่าสุดกลายเป็น 5% แบบนี้ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า คุณภาพของบริษัทดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ Value หรือมูลค่าของบริษัทสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตัวเลขที่สี่ที่ผมสนใจ ก็คือ มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหรือ Market Cap. นี่คือ ตัวเลขที่บอกว่าอดีต 4-5 ปีที่ผ่านมาตลาดให้มูลค่าบริษัทเท่าไร และปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าเท่าไร ประเด็นที่ต้องระวัง ก็คือ บริษัทมีวอร์แรนท์หรือสิทธิที่จะเพิ่มจำนวนหุ้นอยู่หรือไม่และมีมากเท่าไร เพราะถ้ามีมากและจะออกขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก ตัวเลข Market Cap. ที่เห็นล่าสุดก็อาจจะไม่จริง เราอาจจะต้องซื้อในราคาที่แพงกว่าสิ่งที่เห็น ข้อมูลมูลค่าตามราคาตลาดของหุ้นนี้เป็นตัวที่บอกว่าเราจะต้องจ่ายเท่าไรถ้า เราจะเป็นเจ้าของบริษัททั้งหมด ลองเอาไปเปรียบเทียบกับตัวเลขหลายๆ ตัวเราก็จะพอมีไอเดียว่ามันถูกหรือแพง
ตัวเลขที่ห้าที่สำคัญมาก ก็คือ ค่า PE ซึ่งบอกถึงความถูกหรือแพงของหุ้นในกรณีที่บริษัท "มีกำไรที่สม่ำเสมอ" ค่า PE ที่ปานกลาง ก็คือค่า PE ที่เท่าๆ กับค่า PE ของตลาดโดยรวมซึ่งในช่วงนี้มีค่าประมาณ 12-13 เท่า ถ้าหุ้นที่เราดูอยู่มีค่า PE ต่ำกว่านี้ก็ถือว่าถูกและถ้าสูงกว่านี้ก็ถือว่าแพง แต่หุ้นจะน่าซื้อหรือไม่นั้นต้องดูราคาเปรียบเทียบกับคุณภาพด้วย ถ้ากิจการดี ค่า PE จะสูงบ้างก็อาจจะคุ้ม ตรงกันข้าม ถ้าบริษัทไม่ดีเลย ค่า PE แม้ว่าจะต่ำก็อาจจะไม่คุ้มค่า
ตัวเลขที่หก ก็คือ ค่า PB ซึ่งบอกถึงราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าของทรัพย์สินสุทธิของบริษัท ค่าเฉลี่ยของตลาดในช่วงนี้ก็ประมาณเท่ากับ 2 เท่าเศษๆ ดังนั้น หุ้นที่มีค่า PB สูงกว่า 2 เท่าก็ถือว่าแพงกว่าค่าเฉลี่ย อย่างไรก็ตาม ค่า PB นั้นก็มักจะใช้ได้เฉพาะในกรณีที่สินทรัพย์มีราคาตลาดใกล้เคียงกับมูลค่าทาง บัญชีอย่างเช่นในกรณีของสถาบันการเงิน ส่วนบริษัทอีกจำนวนมากนั้น ค่า PB ก็บอกอะไรได้ไม่มากนัก
และสุดท้าย ก็คือ อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน นี่คือ ตัวเลขที่บอกว่ามันเป็น “หุ้นปันผล” หรือเปล่า ถ้าตัวเลขนี้อยู่ในขั้น 5-6% เกือบทุกปี นี่ก็อาจจะบอกได้ว่าหุ้นตัวนี้น่าจะเป็นแนวหุ้นปันผลดี ความเสี่ยงก็น่าจะต่ำหน่อยและก็อาจจะเหมาะสำหรับบางคนหรือเหมาะสำหรับการ เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตหุ้นที่ไม่เสี่ยงมาก
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2555
No comments:
Post a Comment