Friday, March 16, 2012

สินค้ามือสอง

ตลาดสินค้า "มือสอง" ในไทย ต้องพูดว่ายังไม่พัฒนามากนักยกเว้นสินค้าบางอย่าง เช่น รถยนต์ เหตุผลที่สำคัญส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะไม่มีบริษัท ที่ตั้งใจ หรือทุ่มเทในการเป็น "ตัวกลาง" ซื้อขายสินค้ามือสองจริงจัง อีกเหตุผลหนึ่งที่อาจสำคัญยิ่งกว่า คือ คนไทยจำนวนไม่น้อย อาจมีความรู้สึกว่า การใช้สินค้าที่ "ผ่านการใช้งานมาแล้ว" เป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์ เป็นเรื่อง "เสียศักดิ์ศรี" เป็นเรื่องที่ทำให้ถูกมองว่า "จน" หรือบางทีอาจจะรู้สึกว่าสินค้านั้น อาจจะเคยเกิด "สิ่งที่ไม่ดี" มาก่อน ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ราคาของสินค้ามือสองต่ำกว่า "สินค้าใหม่" มาก แม้สินค้ามือสองบางชิ้นจะถูกใช้มาเพียงไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ปี สินค้ายังอยู่ในสภาพที่ดีเกือบๆ เท่าสินค้าใหม่และอายุที่เหลือสำหรับการใช้งานยังยาวนานมาก ว่าที่จริง สินค้าบางชิ้น คือ สินค้าใหม่ เพียงแต่ผ่านการซื้อขายมาแล้ว เจ้าของไม่ใช่บริษัทผู้ขาย ประเด็นอยู่ที่ว่า ในแง่ของ Value Investor เราควรซื้อสินค้ามือสองในสินค้าแต่ละกลุ่มที่มีตลาดมือสองไหม

สินค้ามือสองกลุ่มแรก คือ คอนโดมิเนียม นี่คือ สินค้าที่ผมคิดว่า น่าจะมีราคาถูกคุ้มค่ามาก เมื่อเทียบกับคุณค่า ครั้งหนึ่งเมื่อปีสองปีที่แล้ว ผมเคยสอบถามราคาคอนโดเก่า ที่ประกาศขายย่านถนนพญาไทห่างจากสถานีรถไฟฟ้าและสวนสาธารณะเพียง 200 เมตร แม้ตัวอาคารจะสร้างมาแล้วกว่าสิบปี แต่เจ้าของเพิ่งตกแต่งห้องใหม่ ดังนั้น สภาพห้องชุดจึงดูดีและตัวอาคารน่าจะใช้ต่อไปได้อีกหลายสิบปี แม้อาคารจะไม่มีสระว่ายน้ำ แต่ก็มีห้องออกกำลังกายที่ค่อนข้าง "ว่าง" ที่จอดรถก็มีเหลือเฟือสำหรับเจ้าของทุกยูนิต ดูแล้วนี่คือ "ทำเลทอง" ที่คนจะอาศัยอยู่ในเมือง และมีความสะดวกสบายทุกอย่างยกเว้นไม่มีสระว่ายน้ำ ถ้าจะให้ผมคิดคร่าวๆ ถ้าเป็นคอนโดใหม่ และตบแต่งพร้อมในทำเลแบบเดียวกันพร้อมสระว่ายน้ำ ราคาขายคงไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไป แต่ราคาที่เจ้าของเรียก คือ 4-5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร

ผมเองไม่ได้ซื้อห้องชุด แต่คิดว่าถ้าผมไม่ได้มีเงินมากนัก การใช้เงิน 6 ล้านบาท เพื่อซื้อคอนโดที่ดูแล้วมีทำเล "สุดยอด" น่าจะคุ้มค่ากว่าการใช้เงินไม่ต่ำกว่า 12 ล้านบาท เพื่อที่จะมีสระน้ำ หรือสิ่งอื่นเพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยในการซื้อคอนโด "มือหนึ่ง" หรือถ้าผมไม่ต้องการ หรือไม่มีปัญญาจ่ายเงิน 12 ล้านบาทอยู่แล้ว แต่ถ้าผมต้องการซื้อคอนโดมือหนึ่งราคา 6 ล้านบาท ผมอาจได้คอนโดที่ห่างออกไปจากทำเลนี้มาก ผมอาจต้องเดินหนึ่งกิโลเมตรทุกวัน เพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า ผมอาจจะมีสระว่ายน้ำที่ผมแทบไม่ใคร่ได้ใช้ แต่ต้องจ่ายค่าดูแลที่สูงตลอดไป สำหรับผมแล้ว คงเลือกซื้อคอนโดมือสองตรงนี้มากกว่า มันคุ้มค่า เหนือสิ่งอื่นใด ในไม่ช้า คอนโดมือหนึ่งนั้นก็จะกลายเป็น "คอนโดเก่า" อยู่ดี และนี่ก็คือ การคิดซื้อของแบบ Value Investor

สินค้ากลุ่มที่สองที่ผมคิดว่าการหาของมือสองนั้นอาจจะได้ดีลที่ดีกว่า สินค้ามือหนึ่งมาก ก็คือ บ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์ เหตุผลก็เพราะการซื้อขายบ้านมือสอง มีความ "ยุ่งยาก" บางอย่าง โดยเฉพาะการกู้เงินเช่นเดียวกับการซื้อคอนโดเหมือนกัน สิ่งที่แตกต่างกับคอนโดเล็กน้อย ก็คือ กรณีของบ้านที่ "ติดดิน" ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของบ้าน มักมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็น "บ้านหลังแรก" มากกว่าคอนโดที่คนจำนวนมากมักซื้อไว้เพื่อเป็น "บ้านหลังที่สอง" การตัดสินใจซื้อหรือขายบ้าน จึงดูเหมือนว่าจะมีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงมากกว่า

บางคนถึงขนาดที่นำเรื่องของผี หรือวิญญาณที่อาจจะ "สิง" อยู่ในบ้านเข้ามาประกอบการตัดสินใจก็มี ด้วยเหตุดังกล่าว คนที่คิดจะซื้อบ้านจำนวนมากมักจะไม่สนใจมองหาบ้านเก่า ดังนั้น คนที่ต้องการขาย "บ้านเก่า" จึงขายได้ราคาต่ำมาก เมื่อเทียบกับสภาพบ้านและทำเล ผมเองเคยขายบ้านเก่าไปในราคาที่ต่ำกว่าบ้านใหม่ในระดับเดียวกันไม่ต่ำกว่า หนึ่งเท่าตัว ผมรู้ว่าคนที่ซื้อนั้นน่าจะมีความสุขมาก เพราะเขาคือคนที่เช่าบ้านหลังนั้นอยู่และเขาสามารถไปกู้เงินแบงก์มาซื้อโดย ที่เขาจ่ายค่าผ่อนบ้านรายเดือนพอๆ กับค่าเช่าที่เขาจ่ายให้ผม

สินค้ากลุ่มต่อมาก็คือรถยนต์มือสอง นี่คือ สินค้ามือสองที่มีระบบการขายที่มีประสิทธิภาพสูง ดังนั้น ราคาจึงไม่น่าที่จะลดลงมากเมื่อเทียบกับสินค้ามือหนึ่ง ความรู้สึกว่าเป็นรถเก่านั้น ทำลายความ "ภาคภูมิใจ" ของเจ้าของไปมาก เขาอาจจะรู้สึกว่ารถเก่ามักจะมีสภาพไม่ดีและเขาอาจจะต้องเข้าอู่ซ่อมบ่อย เปลืองน้ำมัน และปัญหาอื่นๆ สารพัด จึงอาจจะไม่คุ้มเมื่อเทียบกับรถใหม่ เหนือสิ่งอื่นใด เขาก็มีความสามารถที่จะผ่อนรถใหม่ได้อยู่แล้ว ส่วนตัวผม ในอดีตที่รถยนต์มีราคาสูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้ของคนชั้นกลาง การซื้อรถยนต์เก่าก็มีเหตุผลที่น่าพิจารณามาก การเกิดขึ้นของรถอีโคคาร์ ซึ่งประหยัดน้ำมัน และมีราคาถูกรวมถึงผลประโยชน์อย่างอื่น เช่น ภาษีทำให้การซื้อรถเก่าอาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอย่างชัดเจนอีกต่อไปได้

สุดท้ายที่ผมจะพูดถึงเรื่องของสินค้ามือสอง คือ หุ้น ซึ่งบางคนอาจจะงงว่าหุ้น มีตลาดมือสองด้วยหรือ แต่ความเป็นจริง คือ หุ้นที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดนั้นต่างก็เป็น "หุ้นมือสอง" ทั้งนั้น ส่วน "หุ้นมือแรก" ก็คือ หุ้นที่ออกขายใหม่ที่ออกโดยบริษัทที่เรียกว่า IPO หรือหุ้นจองที่ขายให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก คำถาม คือ เราควรจะซื้อหุ้นมือสองหรือหุ้นมือแรก คำตอบของผมคือ เราควรซื้อหุ้นมือสองที่เจ้าของหุ้นนำมาซื้อขายกันในตลาดหุ้น และอย่าไปซื้อหุ้น IPO นอกจากในบางช่วงบางเวลาและเป็นการซื้อหุ้นเพื่อเป็นการเก็งกำไรเป็นหลัก

เหตุผลก็คือ หุ้น IPO ถูกตั้งราคาโดยเจ้าของกิจการ ที่นำหุ้นเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เจ้าของกิจการมีแรงจูงใจที่สำคัญ คือ อยากขายหุ้นในราคาที่แพงเพื่อที่ว่าเขาจะ "ได้กำไร" มากๆ จริงอยู่ คนที่กำหนดราคาและค้ำประกันในการที่จะนำมาขายให้ประชาชนทั่วไปนั้น ก็คือ บริษัทหลักทรัพย์และที่ปรึกษาการเงิน แต่ข้อมูล ผลประกอบการ และฐานะทางการเงินต่าง ๆ ก็มาจากเจ้าของกิจการที่สามารถ "ปรับบัญชี" ให้บริษัทดูดีกว่าความเป็นจริงได้อย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งจะทำให้มูลค่าหุ้นของบริษัทสูงขึ้น อย่างน้อยในช่วงเวลาที่จะขายหุ้น ดังนั้น การซื้อ "หุ้นใหม่" เราจึงมักจะต้องจ่ายแพงคล้ายๆ กับคอนโดหรือบ้านใหม่ ขณะที่ "หุ้นเก่า" หรือหุ้นมือสองที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นนั้นมักจะมีราคาที่ถูกกว่า และนั่นก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ผมมักไม่ซื้อหุ้นใหม่หรือหุ้น IPO เพื่อการลงทุนเลย นอกจากในบางช่วงเวลาที่ตลาดหุ้น "ร้อนแรง" และหุ้น IPO ถูกนำมาซื้อขายเก็งกำไร ซึ่งในกรณีอย่างนั้น ถ้าผมจองซื้อหุ้น ผมก็จะรีบขายออกไปอย่างรวดเร็วเมื่อหุ้นเข้าตลาด เพราะผมเห็นว่า หุ้นใหม่นั้น ราคาแพงเกินจริงเสมอ ในขณะที่หุ้นมือสองหรือหุ้นเก่าที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั้น มีทั้งหุ้นที่แพงและถูก

บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 13 มีนาคม 2555

No comments:

Post a Comment