Friday, April 20, 2012

ฟองสบู่ทะเลใต้

ในช่วงที่หุ้น ปรับตัวขึ้นเป็น "กระทิง" นั้น หลายคนก็กลัวว่าภาวะตลาดหุ้นจะกลายเป็น “ฟองสบู่” นั่นก็คือ หุ้นมีราคาแพง “เกินพื้นฐาน” ไปมาก ราคาหุ้นขึ้นไปเพราะผลจากแรง “เก็งกำไร” และถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ในไม่ช้าราคาหุ้นก็จะปรับตัวลงมาอย่างแรง เหมือนกับฟองสบู่ที่แตก ผมคงไม่บอกว่าภาวะปัจจุบันของตลาดหุ้นไทยเป็นฟองสบู่หรือไม่ แต่อยากจะเล่า “ประวัติ” หรือที่มาของภาวะฟองสบู่ที่สำคัญของโลกเหตุการณ์หนึ่งนั่นก็คือ “South Sea Bubble” หรืออาจจะแปลเป็นไทยว่า “ฟองสบู่ทะเลใต้”

ฟองสบู่ทะเลใต้นั้น เกิดขึ้นในช่วงปี 1720 หรือประมาณ 300 ปีมาแล้วในอังกฤษ นี่คือเหตุการณ์ที่ราคาหุ้นของบริษัท South Sea ของอังกฤษถูก “ปั่น” ขึ้นไปสูงมาก ปริมาณการซื้อขายสูงมาก ขนาดหรือมูลค่าหุ้นในตลาดใหญ่มาก และคนที่เข้าไปซื้อขายหุ้นมีจำนวนมหาศาลทั้งที่เป็นชาวบ้านและคนชั้นสูงที่ มีชื่อเสียงของประเทศ ความคึกคักของการซื้อขายหุ้น South Sea มีส่วนทำให้ตลาดหุ้นในอังกฤษและทั่วโลกปรับตัวขึ้นและกลายเป็นฟองสบู่ไป ด้วย และแน่นอน เมื่อ “ฟองสบู่แตก” ความเสียหายก็มหาศาลเช่นเดียวกัน มาดูกันว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร

บริษัท South Sea Company ที่ต่อไปนี้ผมจะใช้ชื่อย่อว่า SSC ก่อตั้งขึ้นในปี 1711 โดยผู้ก่อตั้งนั้นมีหลายคน ซึ่งรวมถึง รมว.คลังของอังกฤษในช่วงนั้นด้วย บริษัทถูกตั้งขึ้นเพื่อที่จะช่วยหาเงินมาอุดหนุนหรือหาเงินมาแก้ปัญหา หนี้สินของรัฐบาลที่เกิดขึ้นมาก อันเป็นผลจากการที่อังกฤษทำสงครามกับสเปน โดยหลักการก็คือ บริษัทจะซื้อพันธบัตรและหนี้สินระยะสั้นของรัฐบาลมาแปลงเป็นระยะยาวรวมถึง การลดดอกเบี้ยที่รัฐบาลจะต้องจ่ายด้วย ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ตอบแทนโดยการอนุมัติให้บริษัทผูกขาดการค้าขายกับอาณานิคมในอเมริกา ใต้ที่อยู่ที่ “ทะเลใต้” ของสเปน

ดีลแรกที่เกิดขึ้นในปี 1713 ก็คือ รัฐบาลและบริษัทได้ชักชวนให้นักลงทุนที่ถือหนี้ระยะสั้นของรัฐบาล 10 ล้านปอนด์ให้แปลงหนี้เป็นหุ้นออกใหม่ของ SSC โดยที่รัฐบาลจะตอบแทนบริษัทโดยการออกพันธบัตรที่ไม่มีกำหนดอายุใช้เงินต้น คืน 10 ล้านปอนด์เช่นกัน โดยรัฐบาลจะจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยให้บริษัททุกปีๆ ประมาณ 5.8% นี่ทำให้ SSC มีรายได้และกำไรแน่นอนปีละ 580,000 ปอนด์ ที่จะทำให้หุ้นของบริษัทเป็นที่น่าสนใจ ในขณะที่รัฐบาลเองก็หวังว่าจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอเมริกาใต้มาใช้จ่าย เป็นค่าดอกเบี้ยได้ สรุปแล้วดีลนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ทั้งคู่ อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงหลังจากนั้นก็คือ บริษัทได้สิทธิที่จะนำเรือไปค้าขายได้เพียงปีละหนึ่งลำ และนำทาสไปขายให้กับอาณานิคมได้ ซึ่งไม่คุ้มค่าเลยสำหรับบริษัท

ในปี 1717 บริษัทได้รับแปลงหนี้ของรัฐบาลเพิ่มอีก 2 ล้านปอนด์ เงินจำนวนนี้คิดเป็นประมาณ 3% ของงบประมาณแผ่นดินของอังกฤษในปีนั้น และก็เช่นเคย บริษัทมีรายได้และกำไรที่แน่นอนเพิ่มขึ้นในขณะที่รัฐบาลก็สามารถลดดอกเบี้ย จ่ายลง

ในปี 1719 บริษัทได้เสนอดีลซึ่งน่าจะเป็น “ดีลแห่งศตวรรษ” นั่นก็คือ บริษัทจะซื้อหนี้จำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งของหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลอังกฤษหรือ 31 ล้านปอนด์ โดยการออกหุ้นใหม่ของบริษัทมาแลก และบริษัทสัญญาว่าจะลดดอกเบี้ยของพันธบัตรให้เหลือ 5% ต่อปี จนถึงปี 1727 และ 4% ต่อปีหลังจากนั้น เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้รัฐบาล ช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับพันธบัตร และที่สำคัญทำให้หุ้นของ SSC มีปริมาณมหาศาลซื้อง่ายขายคล่อง สรุปแล้วก็คือ ได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย ประเด็นสำคัญก็คือ ราคาแปลงสภาพของหุ้นซึ่งถึงแม้ว่าบริษัทจะเป็นคนกำหนดแต่ก็ต้องคำนึงว่ามัน จะต้องเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาหุ้นของ SSC ในขณะนั้นด้วย ดังนั้น สิ่งที่บริษัทและอาจจะรวมถึงผู้นำของรัฐบาลทำก็คือ การพยายาม “ปั่น” ราคาหุ้น เพื่อที่จะให้คนถือพันธบัตรและหนี้ของรัฐบาลนำตราสารเหล่านั้นมาแลกเป็นหุ้น SSC ในราคาที่สูงและคาดว่าจะสูงต่อไป

บริษัทเริ่ม “ปั่น” ราคาหุ้นโดยการปล่อยข่าวลือที่ “ดีสุดๆ” เกี่ยวกับศักยภาพของมูลค่าการค้าขายกับ “โลกใหม่” ซึ่งก่อให้เกิดการ “เก็งกำไรอย่างบ้าคลั่ง” ในหุ้นของบริษัท ราคาหุ้น SSC พุ่งขึ้นจาก 128 ปอนด์ต่อหุ้นเมื่อบริษัทเสนอโครงการซื้อหนี้ของรัฐบาลในเดือนมกราคมปี 1720 เป็น 175 ปอนด์ในเดือนกุมภาพันธ์ 330 ปอนด์ในเดือนมีนาคม และหลังจากที่โครงการได้รับการอนุมัติ หุ้น SSC ก็วิ่งขึ้นเป็น 550 ปอนด์เมื่อสิ้นพฤษภาคม สิ่งที่อาจทำให้หุ้นซื้อขายที่ PE สูงมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ วงเงินกู้ 70 ล้านปอนด์เพื่อขยายงานที่บริษัทจะได้รับโดยการสนับสนุนสำคัญจากรัฐสภาและพระ มหากษัตริย์

นอกจากนั้น บริษัทได้ขายหุ้นให้กับนักการเมืองในราคาตลาด แต่แทนที่จะจ่ายเป็นเงินสด พวกเขากลับรับหุ้นไว้เฉยๆ โดยมีสิทธิที่จะขายหุ้นคืนให้กับบริษัทเมื่อเขาต้องการ และจะรับเฉพาะ “กำไร” ที่จะเกิดขึ้นเมื่อราคาหุ้นขึ้นไป วิธีนี้ได้ใจผู้นำในรัฐบาล “กิ๊ก” ของพระราชา และอื่นๆ ซึ่งทำให้คนเหล่านี้ช่วยกัน “ดัน” ราคาหุ้น ในอีกด้านหนึ่ง การเปิดเผยชื่อคนดังเป็นผู้ถือหุ้นก็ช่วยให้ชื่อเสียงบริษัทดีขึ้นและช่วย ดึงดูดนักลงทุนอื่นๆ มาซื้อหุ้นบริษัท
ในช่วงที่ผู้คนกำลังบ้าคลั่ง เกี่ยวกับหุ้นในช่วงเดือนมิถุนายน 1720 พระราชบัญญัติ “ฟองสบู่” หรือ “Bubble Act” ที่บังคับว่าบริษัทใหม่ ๆ จะก่อตั้งได้จะต้องตราเป็น พ.ร.บ. ก็ถูกตราออกใช้ นี่ยิ่งทำให้บริษัทได้ประโยชน์มากขึ้นและส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเป็น 890 ปอนด์ในช่วงต้นมิถุนายน นี่ทำให้นักลงทุนเริ่มเทขายหุ้น อย่างไรก็ตาม กรรมการบริษัท ต่างก็ออกมาทยอยเก็บเพื่อพยุงราคาซึ่งทำให้ราคาหุ้นยืนอยู่ได้ที่ราว 750 ปอนด์

การที่หุ้นปรับตัวขึ้นมาจาก 100 กลายเป็นเกือบ 1,000 ปอนด์ ในช่วงเวลาไม่ถึงปี ได้ทำให้คนทุกหมู่เหล่าตั้งแต่ขุนนางจนถึงชาวนาคลั่งไคล้การลงทุนไม่เฉพาะใน หุ้น SSC แต่ในตลาดหุ้นโดยทั่วไปด้วย นอกจากหุ้นของบริษัทเดิม ๆ ที่มีอยู่ หุ้นออกใหม่หรือ IPO ก็มีจำนวนมาก บางบริษัทแทบจะไม่มีธุรกิจอะไรเลยแต่โฆษณาว่า “ทำธุรกิจที่มีความได้เปรียบมหาศาล”

ราคาหุ้น SSC ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ 1,000 ปอนด์ ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 1720 แต่แรงขายมหาศาลทำให้ราคาตกกลับลงมาที่ 100 ปอนด์ก่อนสิ้นปีซึ่งก่อให้เกิดการล้มละลายไปทั่วสำหรับคนที่กู้เงินมาเล่น หุ้น การบังคับขายได้ทำให้หุ้นตกลงมาอย่างต่อเนื่อง สภาพคล่องที่หดหายไปดูเหมือนว่าจะกระจายไปทั่วทำให้ “ฟองสบู่” ที่เกิดทั้งในอัมสเตอร์ดัมและปารีส “แตก” ไปด้วย ความล้มเหลวของบริษัทส่งผลต่อไปถึงภาคธนาคารที่ต้องรับภาระหนี้เสียจากการ ปล่อยกู้ซื้อหุ้น การสอบสวนของทางการในปี 1721 พบว่ามีการฉ้อฉลมากมายทั้งในระดับกรรมการบริษัทและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หลายคนต้องติดคุก วิกฤติครั้งนี้ได้สร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของพระเจ้าจอร์จที่ หนึ่งและพรรควิกที่เป็นรัฐบาลในขณะนั้น และทั้งหมดนั้นก็คือเรื่องย่อ ๆ ของฟองสบู่ที่เกิดจากความบ้าคลั่งของนักลงทุนที่แม้แต่เซอร์ไอแซคนิวตัน นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ยังต้องขาดทุนอย่างหนักพร้อม ๆ กับคำกล่าวอมตะที่ว่า “ผมสามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของดวงดาว แต่ไม่สามารถคำนวณความบ้าคลั่งของคน”

บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 10 เมษายน 2555

No comments:

Post a Comment