Sunday, April 28, 2013

ก้าวเล็กๆ ในตลาดหุ้น-ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต

ในช่วงปี 2539-2540 ซึ่งเป็นปีวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในไทย ผมเป็นหนึ่งในผู้บริหารสถาบันการเงินที่ตกอยู่ในท่ามกลาง "มรสุม" ที่พัดกระหน่ำสถาบันการเงินและกิจการธุรกิจ เกือบจะทุกแห่งของประเทศไม่เว้นแม้แต่บริษัทที่ใหญ่และแข็งแรงที่สุด แต่ละวันเราต้องหาทาง "เอาตัวรอด" นั่นคือ หาเงินจากทุกแหล่งที่ทำได้ เพื่อนำมาคืนผู้ฝากเงินที่กำลังขาดความมั่นใจ และทยอยถอนเงินออกเมื่อตั๋วเงินครบกำหนดอายุการฝาก ทุกวันพนักงานที่ดูแลการฝากเงินจะรายงานว่าวันนั้นมีคนมาถอนออก "สุทธิ" เป็นจำนวนเท่าไร ตัวเลขสามสี่ร้อยล้านบาท ดูเหมือนจะเป็นตัวเลข "ปกติ" เราเรียกว่า Bleeding หรือเลือดไหลไม่หยุด และในไม่ช้าเราอาจต้อง "ตาย" เราพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะหยุดมัน วิธีหนึ่งคือ การรวมกิจการสถาบันการเงินหลายๆ แห่งแล้วอาจหาทุนมาเพิ่ม แต่ในยามนั้น ไม่มีใครต้องการถือหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ดูเหมือนว่าธุรกิจกำลังล้มละลายทั้งประเทศ และแล้วเมื่อประกาศลอยค่าเงินบาทกลางปี 2540 บริษัทจำนวนมาก และเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการเงินเกือบทั้งหมดก็ "ล้ม" กันจริงๆ

ผมต้องถูกให้ออกจากงาน ด้วยวัย 44 ปี และวุฒิการศึกษาปริญญาเอกด้านการเงิน โอกาสจะหางานใหม่ในธุรกิจการเงินไม่มีเพราะสถาบันต่างๆ ถูกปิด หรือลดขนาดลง มีลูกเล็กที่ยังเรียนอยู่ในโรงเรียนอินเตอร์ที่มีค่าเล่าเรียนแพงลิ่วปีละหลายแสนบาท และภรรยาทำงานพาร์ทไทม์ในฐานะครูเปียโนผมย่อมต้องกังวลว่าจะ "ทำอย่างไรกับชีวิต" หรือถ้าจะพูดกันให้ตรงที่สุดคือ จะจัดการเรื่องการเงินอย่างไร จึงจะอยู่รอดได้ในภาวะที่ธุรกิจต่างๆ กำลัง "ล่มสลาย" โชคยังดีที่ผมพอจะมีเงินเก็บอยู่บ้าง ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 10 ล้านบาทบวกลบ เงินจำนวนนี้ผมคิดดูแล้ว ไม่เพียงพอที่จะส่งลูกเรียนตลอดจนจบปริญญาตรีในสายอินเตอร์ได้ ถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างนอกจากการฝากเงินกินดอกเบี้ย

การบริหารการเงินส่วนบุคคล "มาตรฐาน" ที่บอกว่า ถ้าอายุมากและโอกาสทำงานหาเงินในอนาคตมีน้อยเราก็ไม่ควรลงทุนในอะไรที่ "เสี่ยง" เช่น หุ้น เพราะถ้าเรา "พลาด" เราจะไม่สามารถหาเงินมาใช้จ่ายได้อีก แต่ถ้าไม่ลงทุนในหุ้นเพราะ "เสี่ยงเกินไป" และการฝากเงินก็ไม่ใช่ทางออก การ "ทำธุรกิจ" ก็ยิ่งเสี่ยง โดยเฉพาะยามที่ความต้องการของประชาชนลดลงมากมาย แล้วผมจะต้องทำอย่างไรที่จะรักษามาตรฐานการดำรงชีวิตแบบเดิมได้?

ทางออกที่ผมค้นพบคือ Value Investment! ลงทุนในหุ้นเหมือนกับการทำธุรกิจ ว่าที่จริงจุดเริ่มต้นจริงๆ ควรจะเป็นว่าผม "ทำธุรกิจ" โดยการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์! ด้วยเงิน 10 ล้านบาท ผมสามารถเริ่มทำธุรกิจได้ ไม่ใช่ธุรกิจเดียว แต่หลายๆ ธุรกิจ ธุรกิจที่ผมเลือกต้อง "ปลอดภัย" ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำอย่างแรง เช่น อาหารราคาถูก หรือกิจการส่งออกที่ไทยกำลังได้เปรียบในเรื่องค่าเงินบาทที่ลดลงมาก ผมวิเคราะห์แล้วพบว่า มีบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีผลประกอบการที่ดี มีฐานะการเงินยอดเยี่ยมแทบจะ "ปลอดหนี้" และบริษัทนั้นปลอดภัยในแง่การดำเนินการ ที่สำคัญคือ ราคาหุ้นบริษัทเหล่านั้น "ถูกเหลือเชื่อ" ค่า PE มักไม่เกิน 10 เท่า หลายบริษัทเพียง 6-7 เท่า เฉพาะปันผลที่ผมจะได้ เมื่อเทียบกับราคาหุ้นประมาณปีละ 10% ซึ่งแปลว่า ด้วยเงิน 10 ล้านบาท ผมจะได้รับปันผลถึงปีละ 1 ล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่ผมจะใช้จ่ายได้โดยไม่กินเงินต้น อาจมีประเด็นว่า หุ้นเหล่านั้นแทบไม่มีสภาพคล่องซื้อขาย คือซื้อได้ แต่อย่าหวังจะขายได้ราคา ตลาดหุ้นโดยรวมก็มีการซื้อขายน้อยมาก วันละ 2-3 พันล้านบาท แต่ผมไม่แคร์เลย เพราะผมลงทุนโดยมีสมมุติฐานว่าผม "ทำธุรกิจ" ผมพร้อมที่จะถือไปตลอดชีวิต

ผมไม่ได้เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นช่วงปี 2540 หลังวิกฤติเศรษฐกิจ ผม "เล่นหุ้น" มานานเป็นสิบปี การเล่นหุ้นของผม เป็นเรื่องของการ "เสี่ยงโชค" โดยอาศัยฝีมือวิเคราะห์ผลประกอบการระยะสั้นๆ ของกิจการกับภาวะตลาดหุ้น ผมเล่นหุ้นเพราะต้องการได้กำไรเร็วๆ เงินที่ได้กำไร ผมก็จะเก็บเข้ามาในบัญชีเงินฝากรวมเข้ากับเงินเดือนและรายได้อื่นๆ ที่ผมได้รับ สำหรับผม คล้ายๆ กับเงินโบนัสที่จะทำให้ผมมีเงินเก็บเพิ่มเร็วขึ้นและมากขึ้น แต่ไม่เคยเป็น "ชีวิต" ของผม ผมไม่ต้องการ "เสี่ยง" เงินจำนวนมากในตลาดหุ้น ผมไม่เคยคิดที่จะ "รวย" จากหุ้น หรือตลาดหุ้น ผมคิดว่าถ้าจะรวยก็ต้องมาจากการทำงาน ว่าที่จริงผมไม่เคยคิดที่จะรวยอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ เพราะผมรู้สึกว่าเวลาการร่ำรวยของผมผ่านไปแล้ว หลังจากที่ผมไปเรียนปริญญาเอกที่อเมริกา จบปริญญาเอก ผมคิดว่า เป็นปัจจัยที่ลดโอกาสการเป็นคนรวยไปมาก เพราะข้อแรก เสียเวลากับการเรียนมาก และข้อสอง ทำให้เราไม่กล้าเสี่ยง

ผมเป็น Value Investor โดยความจำเป็น การเปลี่ยนแปลงจากคนเล่นหุ้นเป็น VI ในช่วงปี 2539-2540 นั้นเพื่อความอยู่รอด ไม่ได้หวังรวยเร็วและก็ไม่คิดว่าจะรวย แม้ต่อมาเมื่อเริ่มเห็นผลว่า สามารถทำผลตอบแทนได้ดี โดยมีความเสี่ยงต่ำผมจะเริ่มตั้ง "ความฝัน" ว่าจะรวย แต่ทั้งหมดก็อิงอยู่กับผลตอบแทน 10% ต่อปี ความรวยที่ผมหวัง มาจากระยะเวลาของการลงทุนที่ยาวมาก คือผมคิดที่จะลงทุนไปจนตายที่ 80 ปี ซึ่งวิธีแบบนี้ ทุกคนรวยได้ถ้ามีความตั้งใจพอ และรักษาหลักการลงทุนแบบปลอดภัยสไตล์ VI อย่างมั่นคง

"ก้าวเล็กๆ" ที่ผมเริ่มเดินเข้าไปในตลาดหุ้นโดยเปลี่ยนวิธีการลงทุนเป็นแบบ VI ในปี 2540 นั้น ได้ส่งผลที่ยิ่งใหญ่กับชีวิตของผม ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนนั้นสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าโชคคงมีส่วนอยู่ไม่น้อย ผมบรรลุเป้าหมายความมั่งคั่งในชีวิตที่เคยตั้งไว้ก่อนเวลา 20 ปี ที่จริงมากกว่าที่ตั้งไว้หลายเท่า นอกจากเงินแล้ว แนวความคิดเรื่อง Value Investment ที่ผมเผยแพร่มาตลอดกว่า 15 ปีได้กลายเป็นแนวความคิดหลักอย่างหนึ่งในตลาดหุ้นไทย คนที่ใช้แนวทางนี้ในการลงทุนต่างก็ทำกำไรได้มากมาย หลายๆ คน รวยเป็นเศรษฐีตั้งแต่อายุไม่ถึง 40 ปีจากการลงทุนแบบ VI และนั่นทำให้คนจำนวนมากต่างก็มุ่งหน้าสู่ตลาดหุ้น

ประเด็นก็คือ คนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นช่วงนี้ต่างก้าวเข้ามาด้วย "ก้าวที่ยิ่งใหญ่" เพียงไม่กี่เดือน หรืออาจเพียงปีหรือสองปี เขาก็คิดไปถึงวันที่ตนเองจะรวยเป็นเศรษฐีที่คนทำงาน หรือผู้ประกอบการอาจจะต้องใช้เวลาเป็นหลายสิบปี พวกเขาคงคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเร็วๆ นี้ และผลตอบแทนที่เขาทำได้ช่วงสั้นๆ ที่ผ่านมาจะดำเนินต่อไปอีกนานเท่านาน ซึ่งทำให้เขารวยได้ แม้จะเริ่มด้วยเงินลงทุนที่ไม่มาก แต่นี่จะเป็นจริงหรือ? ส่วนตัวผมเองคิดว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา อาจจะซัก 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นช่วงเวลา "พิเศษ"

นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น VI ไทยที่สร้างผลตอบแทนในระดับที่นักลงทุนทั้งโลก "อิจฉา" แต่สิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ และต่อเนื่องยาวนาน ผมเชื่อว่าช่วงเวลาพิเศษนี้น่าจะใกล้จบลงและตลาดหุ้นไทยและ VI จะกลับมาสู่ภาวะปกติ ผมคิดว่าคนที่กำลังเข้ามาในตลาดหุ้นควรที่จะรักษา "ก้าว" ที่จะเข้ามาในตลาดให้เป็น "ก้าวเล็กๆ" คืออย่าหวังผลเลิศเกินไป และถ้าทำได้แบบนี้ จะกลายเป็น "ก้าวที่ยิ่งใหญ่" ในชีวิตในอนาคต

 บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2556

No comments:

Post a Comment