คนที่เริ่มศึกษาเรื่องหุ้น ช่วงแรกๆ
เขาจะรู้จักกับแนวความคิดแบบหนึ่ง ที่เขาเชื่อว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องและจะพาให้เขาประสบความ
สำเร็จในการลงทุน ต่อมาเมื่อเขาได้ฟัง ได้อ่าน และศึกษาเพิ่มขึ้น เขาอาจพบว่ายังมีแนวความคิด
หรือทฤษฎีอื่นที่น่าสนใจ และช่วยให้ผลงานการลงทุนของเขาดีขึ้น แม้ทฤษฎี
หรือแนวความคิดใหม่นี้ อาจไม่ตรง หรือแย้งกับสิ่งที่เขาเข้าใจมาในอดีต หลักการไหนกันแน่
ที่เขาควรเชื่อและปฏิบัติตาม แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น ลองมาดูกันว่า มีแนวความคิดอะไรที่ดูเหมือนจะแย้งกันสุดขั้ว
ความคิดข้อแรกที่ดูมีปัญหา
คือ การถือหุ้น สั้นไม่เสี่ยง การถือหุ้นยาว คือ ความเสี่ยง เหตุผล คือ
ในระยะยาวเราคาดการณ์อะไรไม่ได้ จึงเป็นความเสี่ยง และนี่คือ
ความคิดของนักเล่นหุ้นที่เน้นแนวเทคนิค แต่อีกด้านหนึ่ง คนที่เป็น Value Investor ที่ซื้อหุ้นเหมือนกับการลงทุนทำธุรกิจ กลับมองว่า การถือหุ้นสั้นมีความเสี่ยง
เพราะระยะสั้นตลาดหุ้นอาจผันผวนจากปัจจัยด้านมหภาค เช่น เรื่องเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
แต่ในระยะยาว ถ้ากิจการเราวิเคราะห์มาเป็นอย่างดีว่า จะเติบโตและกำไรเพิ่มขึ้น ในที่สุดแล้ว
ราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นตาม ดังนั้น ในระยะยาวโอกาสที่จะขาดทุนก็จะน้อยมาก ดังนั้น
ถือหุ้นสั้น เสี่ยง ถือยาว ไม่เสี่ยงความคิดข้อสอง ที่หลายครั้งเราได้ยินว่า การลงทุน หรือการเล่นหุ้น อย่าไปซื้อตอนหุ้นกำลังลง ต้องซื้อตอนหุ้นกำลังขึ้น นักเล่นหุ้น "รายใหญ่" ที่ใช้สไตล์การเล่น "แรงและเร็ว" บางคนถึงกับบอกเลยว่า ถ้าซื้อแล้วหุ้นไม่ขึ้น ต้องขายทันที ถ้าซื้อแล้วหุ้นวิ่ง ก็จะซื้อเพิ่มขึ้นไปอีก เรียกว่า Average Up คือ ซื้อถัวเฉลี่ยในราคาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลับกัน เรามักจะได้ยินว่านักลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นระยะยาวควรจะซื้อหุ้นแบบ Average Down คือ ซื้อหุ้นเมื่อราคาลดลง ยิ่งลดลงก็ยิ่งซื้อเพื่อ "ลดต้นทุน" ต่อหุ้นลง นอกจากนี้ เราก็ยังมี ทฤษฎี Dollar Cost Average ที่บอกให้ซื้อหุ้นเฉลี่ยไปเรื่อยๆ ด้วยเม็ดเงินเท่ากันทุกเดือน หรือทุกปีโดยไม่ต้องสนใจหุ้นจะขึ้นหรือลง ข้อดี คือ ถ้าเดือนไหนหุ้นขึ้นเราซื้อหุ้นได้น้อยหน่อย ช่วงไหนหุ้นลง เราซื้อหุ้นได้มากหน่อยดังนั้น ต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้นก็จะลดลง
ความคิดข้อที่สาม คือ วิธีที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีและเร็วที่สุด คือ ซื้อหุ้นที่ถูก และขายเมื่อราคาขึ้นมา "เต็มมูลค่า" นี่คือ แนวทางของ VI ส่วนใหญ่มักจะวิเคราะห์หา "มูลค่าที่แท้จริง" อย่าง "ละเอียดถี่ถ้วน" และซื้อขายหุ้นค่อนข้างบ่อย เพื่อสร้างผลตอบแทน "อย่างรวดเร็ว" ขณะที่อีกแนวความคิดหนึ่ง คือ ซื้อหุ้นกิจการที่ดีมาก และถือไว้ยาวนานตราบที่ยังดีอยู่ นี่คือแบบที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ใช้ แต่ VI จำนวนมาก ก็ไม่เชื่อว่าวิธีนี้จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากๆ ได้ เหตุผล คือ ในระยะยาวแล้ว เป็นเรื่องยากที่บริษัทจะโตได้เกินปีละ 15-20% ดังนั้น ถือหุ้นแบบนี้ในระยะยาวพอร์ตจะโตได้มากก็ปีละ 15-20% สู้ซื้อหุ้นที่ถูกและขายภายในเวลาไม่กี่เดือน เมื่อได้กำไร 15-20% ก็ไปซื้อหุ้นถูกตัวใหม่ที่จะได้กำไรอีก 15-20% ถ้าทำแบบนี้ได้ปีละ 3-4 ครั้งก็จะได้ผลตอบแทนปีละไม่ต่ำกว่า 40-50% เป็นอย่างน้อย
ความคิดข้อที่สี่ คือ การลงทุน เราควรต้อง กระจายความเสี่ยง โดยการถือครองหุ้นหลายๆ ตัว และแต่ละตัวอาจไม่เกิน 5-10% ของพอร์ตโดยรวม การทำแบบนี้จะทำให้ความเสี่ยงลดลง ตรงกันข้าม เรามีแนวความคิดการลงทุนแบบ Focus หรือเน้นลงทุนในหุ้นน้อยตัวแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งช่วงแรกๆ ของการลงทุน บางครั้งเขาถือหุ้นตัวเดียวเกิน 30-40% ของพอร์ตก็เคยมี การลงทุนแบบนี้จะทำให้ผลตอบแทนสูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญแต่ก็มีความเสี่ยง สูง คนที่สนับสนุนแนวความคิดนี้ มักจะบอกว่า เขาศึกษาตัวหุ้นนี้มาเป็นอย่างดี เขาไม่คิดว่าเป็นความเสี่ยง ในประเด็นเรื่องกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงโดยการถือครองหุ้นนี้ ในหมู่นักลงทุนไทย ซึ่งรวมถึง “VI” จำนวนมาก พวกเขาลงทุนยิ่งกว่าคำว่า Focus นั่นคือ หลายคนถือหุ้นตัวเดียวคิดเป็น 50% หรือบางคนถือหุ้นตัวเดียว 100% และบางครั้งถือเกิน 100% นั่นคือ ใช้มาร์จินซื้อหุ้นเพิ่มด้วย
ความคิดที่ห้า คือ ภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้น หรือ ภาพของเศรษฐกิจมหภาค มีความสำคัญต่อการลงทุน ถ้าภาพไม่ดี เราต้องออกจากตลาด เราไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ในตลาดตลอดเวลา ว่าที่จริง ปีปีหนึ่งอาจจะเล่นเพียง 2-3 รอบ หรือบางปีอาจไม่เล่นเลยก็ได้ ตรงกันข้าม อีกความคิดหนึ่ง คือ เศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร เราไม่ต้องสนใจ สนใจเฉพาะว่า กิจการที่เราลงทุนเป็นอย่างไร ถ้าดีอยู่เราก็ซื้อหรือถือไว้ เพราะเราลงทุนกับบริษัท เราไม่ได้ลงทุนในดัชนีหรือลงทุนซื้อหุ้นทั้งตลาด โดยทั่วไปแล้ว เราจะอยู่ในตลาดตลอดเวลา และบางคนแทบจะถือหุ้น 100% ไม่ถือเงินสดเลยด้วยซ้ำ
ความคิดที่หก คือ แนวคิด กลยุทธ์ และข้อมูลทางเทคนิค กับวิธีการลงทุนแบบ VI เอามาใช้ประกอบกันได้ หลายๆ คนมีความคิดว่าเขาหาหุ้นแบบ VI แต่จังหวะซื้อหรือขาย ดูจากข้อมูลทางเทคนิค เพราะเชื่อว่าวิธีนี้ จะทำให้ทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการใช้หลักการแบบ VI อย่างเดียว ส่วนอีกแนวทางหนึ่งมักมาจากพวก "VI พันธุ์แท้" ที่มองว่า หลักการทางเทคนิค ไม่มีประโยชน์ และบ่อยครั้งขัดแย้งกับหลักการ "พื้นฐาน" ของกิจการ การนำมาใช้ หรือใช้ร่วมกับวิธีการของ VI ไม่ถูกต้อง และอาจทำให้เกิดความเสียหายได้
ความคิดที่เจ็ด คือ แนวความคิดที่ว่าสไตล์และวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง ย่อมต้องขึ้นอยู่กับตัวนักลงทุนด้วย นั่นแปลว่า หลักการที่บัฟเฟตต์ใช้ และประสบความสำเร็จอย่างสูง เราจะเอามาใช้ตรงๆ ไม่ได้ เพราะเราไม่ใช่บัฟเฟตต์ เราไม่มีความสามารถและมีอีคิว เหมือนบัฟเฟตต์ เราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่เหมือนบัฟเฟตต์ และสุดท้าย คือ เราไม่ได้อยู่ในอเมริกา สิ่งที่เราควรทำก็คือ ดูว่า "จริต" เราเป็นอย่างไร และเลือกหลักการลงทุนที่ "ถูกกับจริตเรา" มากที่สุด ในอีกด้านหนึ่ง มีความคิดว่า ต้องปรับตัวเรา หรือสอนให้ตัวเราเรียนรู้หลักการ และวิธีการลงทุนที่ถูกต้องที่สุด ถ้าจริตเราไม่เหมาะสมกับหลัก หรือวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง ต้องแก้ไข มิฉะนั้น จะไม่ประสบความสำเร็จ เหนือสิ่งอื่นใดคือ หุ้นนั้นไม่รู้หรอกว่าใครเป็นเจ้าของ ไม่เปลี่ยนตามเรา เราต้องเปลี่ยนแปลงตามมัน
เขียนถึงตรงนี้หลายคนอาจเริ่มสับสน และไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง และจะเชื่อด้านไหนในแต่ละเรื่องแต่ละประเด็น ส่วนตัวผมเอง คิดว่า ด้านไหนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ขึ้นอยู่กับความเชื่อ หรือแนวความคิดพื้นฐานของเรา ถ้าเราเป็น "VI พันธุ์แท้" เรามีแนวโน้มจะเชื่อด้านหนึ่งแต่ถ้าเราเป็น "นักเก็งกำไร" เรามีแนวโน้มเชื่อไปอีกด้านหนึ่ง และผมเชื่อว่าแนวทางนั้น อาจดีกับความคิดพื้นฐานดังกล่าว สิ่งที่ผมแนะนำ คือ เวลาเราศึกษา ต้องดูว่าเหตุผลที่เขาใช้คืออะไร ความคิดนั้นมาจากหลักการอะไร ถ้ามาจากแนวคิดพื้นฐานที่เราใช้ นั่นคือ ความคิดที่ถูกต้อง และควรจะยึดถือ อย่าวอกแวก การลงทุนประกอบไปด้วยหลักการต่างๆ มากมาย ถ้าไม่สอดคล้องกัน ก็จะเหมือนเครื่องจักรที่เดินไม่ราบรื่นแน่นอน
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ
10 กรกฎาคม 2555
No comments:
Post a Comment