ในการลงทุนนั้น ผมมักจะมีรายการของหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มอยู่ใน "หัว"
ที่ผมจะคอยติดตามเป็นระยะๆ
หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่ผมยังไม่ซื้อด้วยสาเหตุต่างๆ
แต่โดยรวมแล้วมันยังไม่เป็นหุ้นคุณค่าที่น่าสนใจหรือมันยังไม่ถึงเวลาที่จะซื้อ
อย่างไรก็ตาม หุ้นเหล่านี้ในบางช่วงเวลาหรือบางโอกาส
มันอาจจะกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากและอาจจะทำเงินให้เรามหาศาล
เรียกว่าเป็น "โอกาสทอง" ได้
ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนหรือแบบไหนที่น่าจับตามอง
และช่วงไหนจะเป็นโอกาสทองที่เราจะเข้าไปซื้อ
กลุ่มแรกที่ผมชอบติดตามแม้ว่าในระยะหลังๆ ความสนใจของผมจะน้อยลงบ้าง
ก็คือ "หุ้นตัวจิ๋ว" นี่คือ บริษัทที่มี Market Cap.
หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัทเล็กมาก ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท
หุ้นบางตัวมีมูลค่าแค่ 200-300 ล้านบาทก็มี การมองหุ้นเหล่านี้
ผมไม่ได้มองเฉพาะว่ามันเล็ก
แต่ผมจะมองแล้วเปรียบเทียบกับตัวธุรกิจด้วยว่าเป็นอย่างไร มัน
"สมศักดิ์ศรี" ไหม ธุรกิจมันควรจะมีค่ามากกว่านั้นหรือไม่
นอกจากมูลค่าหุ้นแล้ว
ผมก็มักจะดูด้วยว่ามันมีหนี้เงินกู้มากน้อยแค่ไหนและธุรกิจมีความเสี่ยงที่
จะล้มละลายมากน้อยแค่ไหน
ถ้าไปเจอว่าหุ้นมันถูกเกินไปแต่ดูไปแล้วธุรกิจก็ยังมีปัญหา เช่น
หนี้ยังสูงเกินไป
แบบนี้เราก็ต้องรอว่าเขาจะมีการปรับโครงสร้างการเงินที่เหมาะสมได้หรือไม่
ถ้าวันไหนมันชัดเจนแล้ว เราจึงพิจารณาซื้อหุ้น เมื่อซื้อแล้ว
ถ้าหุ้นขึ้นเราก็ไม่ควรรีบขาย เพราะหุ้นตัวเล็กนั้น
โอกาสที่จะขึ้นไปสูงขนาดเป็นเท่าๆ ตัวก็เป็นไปได้ไม่ยาก
ปัญหาของหุ้นที่มีขนาดเล็กมากนั้น ก็คือ
บางทีเวลาเราต้องการซื้อหุ้นจำนวนมาก
เรามักจะทำไม่ได้เพราะราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปมากและทำให้มันกลายเป็นหุ้นที่
ไม่ถูกอีกต่อไป ดังนั้น สำหรับคนที่มีพอร์ตหุ้นขนาดใหญ่
การเล่นหุ้นตัวเล็กก็ทำได้จำกัด
หุ้นกลุ่มที่สองที่ผมมักจะจับตามองเป็นระยะ ก็คือ หุ้นวัฏจักร
ที่อยู่ในช่วง "ขาลง" ตัวอย่างเช่น หุ้นเรือ
ผมจะเฝ้ามองว่ามันกำลังลงไปถึงจุดไหน
โดยทั่วไปผมอยากจะเห็นว่าธุรกิจนั้นได้ตกต่ำลงไปถึงจุดต่ำสุดซึ่งก็คือเมื่อ
ผลการดำเนินงานประจำปีของบริษัททุกรายหรือเกือบทุกรายขาดทุน ถ้าจะให้ดี
ก็คือ ขาดทุนมากๆ จนแทบเอาตัวไม่รอด
แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น
และนั่นก็จะทำให้ผมเฝ้าดูหรือติดตามหุ้น "ฟรี" ไม่ได้อะไรเลย
คนที่ชำนาญหรืออยู่ใกล้ชิดอุตสาหกรรมเรืออาจจะทำกำไรได้โดยการติดตามอัตรา
ค่าระวางเรือ และสามารถทำกำไรจากหุ้นได้โดยไม่ต้องรอผลประกอบการ
แต่เนื่องจากผมเองไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ ดังนั้น
ผมจึงต้องยอมให้มันผ่านไป เหนือสิ่งอื่นใด
ผมไม่ได้เดือดร้อนถ้าไม่ได้กำไรจากธุรกิจเดินเรือ แต่ถ้าจะลงทุน
ผมอยากจะได้กำไรมากๆ โดยการรอจนกว่าโอกาสทองจะเกิด ถ้ามันไม่เกิดก็
"ช่างมัน"
หุ้นกลุ่มที่สาม ก็คือ กลุ่ม Fallen Angel หรือ "นางฟ้าตกสวรรค์"
นี่คือ หุ้นที่เคยโดดเด่นมาก
แต่แล้วก็เกิดเหตุบางอย่างที่ทำให้ผลประกอบการแย่ลงมาก
ราคาหุ้นก็มักจะตกตาม บางทีมากยิ่งกว่าผลประกอบการ ประเด็น ก็คือ
เราต้องพยายามศึกษาให้รู้ว่าเหตุที่ว่านั้นคืออะไรและบริษัทจะแก้ไขได้หรือ
ไม่
ถ้าไม่มั่นใจว่าเรารู้สาเหตุหรือไม่มั่นใจว่าบริษัทจะแก้ไขได้หรือไม่
เราก็รอ และเฝ้าจับตาไปเรื่อยๆ
ว่าสาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการตกต่ำลงมันใกล้จะหมดไปหรือยัง
ถ้าดูแล้วชัดเจนว่าบริษัทกำลังฟื้นตัวขึ้นและจะกลับมาโดดเด่นได้เหมือนเดิม
การลงทุนในหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ก็มักจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำและผลตอบแทนนั้น
จะต่อเนื่องไปได้ อาจจะหลายๆ ปีโดยไม่ต้องรีบขายหุ้น
ว่าที่จริง นี่ก็คือ การลงทุนในสไตล์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ แนวหนึ่ง
นั่นก็คือ การซื้อหุ้น Super Stock
ในเวลาที่มันมีปัญหาเฉพาะที่สามารถแก้ไขได้ แต่ในกรณีนี้
บัฟเฟตต์จะต้องมั่นใจว่ามันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและแก้ไขได้แน่
นอน ดังนั้น เขาอาจจะไม่รอเป็นปี ๆ แต่จะซื้อหุ้นทันทีที่มันตกลงมามากๆ
หุ้นกลุ่มที่สี่ ก็คือ "หุ้นที่มีทรัพย์สินมาก" นี่ก็คือ
หุ้นที่มีทรัพย์สินสุทธิมากเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้น
ตัวแทนที่ดีและดูง่ายของหุ้นที่มีทรัพย์สินมากก็คือ ค่า PB
หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท ยกตัวอย่างเช่น
ในสภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้ ค่าเฉลี่ยของค่า PB ทั้งตลาดก็คือประมาณ 2
เท่าเศษๆ แต่หุ้นบางตัวที่เราเห็นนั้น มีค่าเพียง 0.8 เท่า
และเรายังรู้สึกอีกว่าทรัพย์สินจริงๆ
ของบริษัทที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นราคาตลาดนั้นยิ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี
ด้วย
แบบนี้
เราก็อาจจะจับตามองว่าหุ้นตัวนี้อาจจะถูกเกินไปเมื่อมองจากทรัพย์สิน
สาเหตุอาจจะเป็นอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหน กำไรอาจจะต่ำเห็นได้จากค่า
ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำกว่าปกติเช่นต่ำกว่า 10%
เป็นต้น และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ถ้ามันเกิดขึ้นเพราะการแข่งขันที่รุนแรงกว่าปกติ
เราคงต้องเฝ้าดูว่าเมื่อไรสิ่งนั้นจึงหมดไป
ถ้ามันเป็นเพราะการควบคุมทางด้านราคาจากภาครัฐ
เราก็อาจจะต้องรอว่าเมื่อไรราคาจะได้รับการปรับขึ้น ดังนั้น
สิ่งที่เราจะต้องทำ ก็คือ เฝ้ารอ "โอกาสทอง" ดังกล่าว
และเมื่อมันเกิดขึ้น เราก็เข้าไปซื้อหุ้นและทำกำไรงามจากมัน
หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง ก็คือ "หุ้นโตเร็วที่คนยังไม่ตระหนัก"
นี่คือ หุ้นที่มีคุณสมบัติตามชื่อ คือ เป็นหุ้นที่โตเร็ว อาจจะถึงปีละ
15% โดยเฉลี่ยในระยะอย่างน้อย 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม
นักลงทุนยังไม่รู้หรือไม่ตระหนักว่ามันกำลังจะโต
เหตุผลอาจจะเป็นเพราะมันเพิ่งจะเริ่มเติบโตอย่างจริงจังหลังจากที่
"บ่มเพาะตัว" มาได้ระยะหนึ่ง หรือไม่อย่างนั้น
บริษัทก็อาจจะโตเฉพาะทางด้านของยอดขายแต่กำไรอาจจะยังไม่มาเนื่องจากอยู่ใน
ช่วงของการสร้างยอดขายที่จะทำให้กิจการถึงจุดที่จะมี Economies of Scale
คือ มีขนาดใหญ่พอที่จะเริ่มทำกำไรได้ ดังนั้น
คนจึงอาจจะไม่ทันสังเกตว่าบริษัทนั้นโตเร็ว
ด้วยเหตุดังกล่าว ราคาของหุ้นก็ไม่ดีนัก ค่า PE ก็อาจจะไม่สูง
ถ้าเราค้นพบและซื้อหุ้นแบบนี้ไว้
ในเวลาต่อมาเมื่อบริษัทเริ่มมีกำไรเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และคาดได้ว่ากำไรนั้นจะเติบโตต่อไปอีกหลายๆ ปี
คนก็จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อหุ้นและเข้ามาซื้อ
ซึ่งจะดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นสอดคล้องกับกำไรที่เพิ่มและสอดคล้องกับค่า PE
ที่สูงขึ้น เท่ากับว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น "สองเด้ง"
คนที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ไว้จะต้องไม่รีบขายทำกำไร
เพราะราคาหุ้นของบริษัทที่โตเร็วนั้น
มักจะปรับตัวขึ้นค่อนข้างยาวนานตามการเติบโตของบริษัท
โอกาสทองในหุ้นทั้งห้ากลุ่มดังที่กล่าวมานั้น แน่นอน
ไม่ใช่มาได้ง่ายๆ บ่อยครั้ง เหตุการณ์ต่างๆ ที่เราเฝ้าจับตามองนั้น
มันก็มาจริงๆ หลังจากเวลาผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปี
แต่ในระหว่างที่รอนั้น ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นมาเรื่อยๆ
ซึ่งก็ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นลดลงเรื่อยๆ อย่าลืมว่า
กิจการที่ดีขึ้นนั้นก็อาจจะไม่ทำให้หุ้นกลายเป็นหุ้น Value ได้
ถ้าราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาเท่าๆ กันหรือมากกว่า โดยประสบการณ์ของผม
ถ้าในแต่ละปีเราสามารถหาหุ้นที่เราเจอ "โอกาสทอง" ได้สักหนึ่งตัว
เราก็โชคดีมากแล้ว เพราะนี่คือ
หุ้นที่สามารถที่จะสร้างความแตกต่างให้กับพอร์ตของเราได้
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 14 สิงหาคม 2555
No comments:
Post a Comment