Wednesday, August 15, 2012

โอกาสทอง

ในการลงทุนนั้น ผมมักจะมีรายการของหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มอยู่ใน "หัว" ที่ผมจะคอยติดตามเป็นระยะๆ หุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นที่ผมยังไม่ซื้อด้วยสาเหตุต่างๆ แต่โดยรวมแล้วมันยังไม่เป็นหุ้นคุณค่าที่น่าสนใจหรือมันยังไม่ถึงเวลาที่จะซื้อ

อย่างไรก็ตาม  หุ้นเหล่านี้ในบางช่วงเวลาหรือบางโอกาส มันอาจจะกลายเป็นหุ้นที่น่าสนใจมากและอาจจะทำเงินให้เรามหาศาล  เรียกว่าเป็น "โอกาสทอง"  ได้  ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนหรือแบบไหนที่น่าจับตามอง  และช่วงไหนจะเป็นโอกาสทองที่เราจะเข้าไปซื้อ

กลุ่มแรกที่ผมชอบติดตามแม้ว่าในระยะหลังๆ  ความสนใจของผมจะน้อยลงบ้าง ก็คือ "หุ้นตัวจิ๋ว"  นี่คือ บริษัทที่มี  Market Cap. หรือมูลค่าตลาดของหุ้นทั้งบริษัทเล็กมาก  ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท  หุ้นบางตัวมีมูลค่าแค่ 200-300 ล้านบาทก็มี การมองหุ้นเหล่านี้ ผมไม่ได้มองเฉพาะว่ามันเล็ก แต่ผมจะมองแล้วเปรียบเทียบกับตัวธุรกิจด้วยว่าเป็นอย่างไร มัน "สมศักดิ์ศรี"  ไหม  ธุรกิจมันควรจะมีค่ามากกว่านั้นหรือไม่  นอกจากมูลค่าหุ้นแล้ว   ผมก็มักจะดูด้วยว่ามันมีหนี้เงินกู้มากน้อยแค่ไหนและธุรกิจมีความเสี่ยงที่ จะล้มละลายมากน้อยแค่ไหน ถ้าไปเจอว่าหุ้นมันถูกเกินไปแต่ดูไปแล้วธุรกิจก็ยังมีปัญหา เช่น หนี้ยังสูงเกินไป แบบนี้เราก็ต้องรอว่าเขาจะมีการปรับโครงสร้างการเงินที่เหมาะสมได้หรือไม่ ถ้าวันไหนมันชัดเจนแล้ว เราจึงพิจารณาซื้อหุ้น  เมื่อซื้อแล้ว  ถ้าหุ้นขึ้นเราก็ไม่ควรรีบขาย เพราะหุ้นตัวเล็กนั้น  โอกาสที่จะขึ้นไปสูงขนาดเป็นเท่าๆ  ตัวก็เป็นไปได้ไม่ยาก ปัญหาของหุ้นที่มีขนาดเล็กมากนั้น ก็คือ บางทีเวลาเราต้องการซื้อหุ้นจำนวนมาก เรามักจะทำไม่ได้เพราะราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปมากและทำให้มันกลายเป็นหุ้นที่ ไม่ถูกอีกต่อไป  ดังนั้น สำหรับคนที่มีพอร์ตหุ้นขนาดใหญ่  การเล่นหุ้นตัวเล็กก็ทำได้จำกัด

หุ้นกลุ่มที่สองที่ผมมักจะจับตามองเป็นระยะ ก็คือ  หุ้นวัฏจักร  ที่อยู่ในช่วง "ขาลง"   ตัวอย่างเช่น หุ้นเรือ ผมจะเฝ้ามองว่ามันกำลังลงไปถึงจุดไหน  โดยทั่วไปผมอยากจะเห็นว่าธุรกิจนั้นได้ตกต่ำลงไปถึงจุดต่ำสุดซึ่งก็คือเมื่อ ผลการดำเนินงานประจำปีของบริษัททุกรายหรือเกือบทุกรายขาดทุน  ถ้าจะให้ดี ก็คือ  ขาดทุนมากๆ  จนแทบเอาตัวไม่รอด  แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น  และนั่นก็จะทำให้ผมเฝ้าดูหรือติดตามหุ้น "ฟรี"  ไม่ได้อะไรเลย   คนที่ชำนาญหรืออยู่ใกล้ชิดอุตสาหกรรมเรืออาจจะทำกำไรได้โดยการติดตามอัตรา ค่าระวางเรือ  และสามารถทำกำไรจากหุ้นได้โดยไม่ต้องรอผลประกอบการ    แต่เนื่องจากผมเองไม่มีความรู้ในเรื่องนี้  ดังนั้น  ผมจึงต้องยอมให้มันผ่านไป   เหนือสิ่งอื่นใด  ผมไม่ได้เดือดร้อนถ้าไม่ได้กำไรจากธุรกิจเดินเรือ  แต่ถ้าจะลงทุน  ผมอยากจะได้กำไรมากๆ  โดยการรอจนกว่าโอกาสทองจะเกิด  ถ้ามันไม่เกิดก็  "ช่างมัน"

หุ้นกลุ่มที่สาม ก็คือ  กลุ่ม  Fallen Angel  หรือ "นางฟ้าตกสวรรค์"  นี่คือ หุ้นที่เคยโดดเด่นมาก  แต่แล้วก็เกิดเหตุบางอย่างที่ทำให้ผลประกอบการแย่ลงมาก   ราคาหุ้นก็มักจะตกตาม  บางทีมากยิ่งกว่าผลประกอบการ  ประเด็น ก็คือ  เราต้องพยายามศึกษาให้รู้ว่าเหตุที่ว่านั้นคืออะไรและบริษัทจะแก้ไขได้หรือ ไม่  ถ้าไม่มั่นใจว่าเรารู้สาเหตุหรือไม่มั่นใจว่าบริษัทจะแก้ไขได้หรือไม่  เราก็รอ  และเฝ้าจับตาไปเรื่อยๆ  ว่าสาเหตุที่ทำให้ผลประกอบการตกต่ำลงมันใกล้จะหมดไปหรือยัง  ถ้าดูแล้วชัดเจนว่าบริษัทกำลังฟื้นตัวขึ้นและจะกลับมาโดดเด่นได้เหมือนเดิม  การลงทุนในหุ้นนางฟ้าตกสวรรค์ก็มักจะทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำและผลตอบแทนนั้น จะต่อเนื่องไปได้  อาจจะหลายๆ  ปีโดยไม่ต้องรีบขายหุ้น
ว่าที่จริง  นี่ก็คือ การลงทุนในสไตล์ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ แนวหนึ่ง  นั่นก็คือ  การซื้อหุ้น Super Stock  ในเวลาที่มันมีปัญหาเฉพาะที่สามารถแก้ไขได้  แต่ในกรณีนี้  บัฟเฟตต์จะต้องมั่นใจว่ามันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและแก้ไขได้แน่ นอน  ดังนั้น  เขาอาจจะไม่รอเป็นปี ๆ  แต่จะซื้อหุ้นทันทีที่มันตกลงมามากๆ

หุ้นกลุ่มที่สี่ ก็คือ "หุ้นที่มีทรัพย์สินมาก"  นี่ก็คือ หุ้นที่มีทรัพย์สินสุทธิมากเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดของหุ้น  ตัวแทนที่ดีและดูง่ายของหุ้นที่มีทรัพย์สินมากก็คือ  ค่า  PB  หรือราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท  ยกตัวอย่างเช่น  ในสภาวะตลาดหุ้นในช่วงนี้  ค่าเฉลี่ยของค่า PB ทั้งตลาดก็คือประมาณ 2 เท่าเศษๆ  แต่หุ้นบางตัวที่เราเห็นนั้น  มีค่าเพียง 0.8 เท่า  และเรายังรู้สึกอีกว่าทรัพย์สินจริงๆ ของบริษัทที่ยังไม่ได้ปรับให้เป็นราคาตลาดนั้นยิ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชี ด้วย
แบบนี้  เราก็อาจจะจับตามองว่าหุ้นตัวนี้อาจจะถูกเกินไปเมื่อมองจากทรัพย์สิน  สาเหตุอาจจะเป็นอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นไม่ไปไหน   กำไรอาจจะต่ำเห็นได้จากค่า ROE  หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ต่ำกว่าปกติเช่นต่ำกว่า 10%  เป็นต้น  และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น    ถ้ามันเกิดขึ้นเพราะการแข่งขันที่รุนแรงกว่าปกติ  เราคงต้องเฝ้าดูว่าเมื่อไรสิ่งนั้นจึงหมดไป  ถ้ามันเป็นเพราะการควบคุมทางด้านราคาจากภาครัฐ  เราก็อาจจะต้องรอว่าเมื่อไรราคาจะได้รับการปรับขึ้น   ดังนั้น  สิ่งที่เราจะต้องทำ ก็คือ  เฝ้ารอ  "โอกาสทอง"  ดังกล่าว  และเมื่อมันเกิดขึ้น  เราก็เข้าไปซื้อหุ้นและทำกำไรงามจากมัน

หุ้นกลุ่มสุดท้ายที่ผมจะพูดถึง ก็คือ  "หุ้นโตเร็วที่คนยังไม่ตระหนัก"  นี่คือ หุ้นที่มีคุณสมบัติตามชื่อ  คือ เป็นหุ้นที่โตเร็ว  อาจจะถึงปีละ 15% โดยเฉลี่ยในระยะอย่างน้อย 5 ปีข้างหน้า  อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนยังไม่รู้หรือไม่ตระหนักว่ามันกำลังจะโต  เหตุผลอาจจะเป็นเพราะมันเพิ่งจะเริ่มเติบโตอย่างจริงจังหลังจากที่  "บ่มเพาะตัว"  มาได้ระยะหนึ่ง  หรือไม่อย่างนั้น  บริษัทก็อาจจะโตเฉพาะทางด้านของยอดขายแต่กำไรอาจจะยังไม่มาเนื่องจากอยู่ใน ช่วงของการสร้างยอดขายที่จะทำให้กิจการถึงจุดที่จะมี Economies of Scale  คือ มีขนาดใหญ่พอที่จะเริ่มทำกำไรได้  ดังนั้น  คนจึงอาจจะไม่ทันสังเกตว่าบริษัทนั้นโตเร็ว

ด้วยเหตุดังกล่าว  ราคาของหุ้นก็ไม่ดีนัก  ค่า PE ก็อาจจะไม่สูง  ถ้าเราค้นพบและซื้อหุ้นแบบนี้ไว้  ในเวลาต่อมาเมื่อบริษัทเริ่มมีกำไรเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  และคาดได้ว่ากำไรนั้นจะเติบโตต่อไปอีกหลายๆ  ปี  คนก็จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อหุ้นและเข้ามาซื้อ  ซึ่งจะดันราคาหุ้นให้สูงขึ้นสอดคล้องกับกำไรที่เพิ่มและสอดคล้องกับค่า PE ที่สูงขึ้น  เท่ากับว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเป็น  "สองเด้ง"   คนที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ไว้จะต้องไม่รีบขายทำกำไร  เพราะราคาหุ้นของบริษัทที่โตเร็วนั้น  มักจะปรับตัวขึ้นค่อนข้างยาวนานตามการเติบโตของบริษัท

โอกาสทองในหุ้นทั้งห้ากลุ่มดังที่กล่าวมานั้น  แน่นอน  ไม่ใช่มาได้ง่ายๆ  บ่อยครั้ง  เหตุการณ์ต่างๆ  ที่เราเฝ้าจับตามองนั้น  มันก็มาจริงๆ  หลังจากเวลาผ่านไปหลายเดือนหรือหลายปี   แต่ในระหว่างที่รอนั้น  ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นมาเรื่อยๆ  ซึ่งก็ทำให้ความน่าสนใจของหุ้นลดลงเรื่อยๆ  อย่าลืมว่า กิจการที่ดีขึ้นนั้นก็อาจจะไม่ทำให้หุ้นกลายเป็นหุ้น Value ได้  ถ้าราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นมาเท่าๆ  กันหรือมากกว่า   โดยประสบการณ์ของผม  ถ้าในแต่ละปีเราสามารถหาหุ้นที่เราเจอ  "โอกาสทอง"  ได้สักหนึ่งตัว   เราก็โชคดีมากแล้ว  เพราะนี่คือ หุ้นที่สามารถที่จะสร้างความแตกต่างให้กับพอร์ตของเราได้

บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 14 สิงหาคม 2555

No comments:

Post a Comment