Wednesday, February 20, 2013

สัญญาณบวก-ลบในตลาดหุ้น

ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์และการเงินนั้น  การมองหา “สัญญาณ”   หรือ  Indicator ที่จะสามารถบอกให้เรารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเป็นเรื่องที่สำคัญ มาก  เหตุผลก็เพราะว่า  ถ้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นบวก  เราก็สามารถวางแผนหรือกำหนดนโยบายในการจัดสรรทรัพยากรให้รองรับกับสิ่งนั้น  หาก สัญญาณบอกว่าอนาคตจะเป็นลบ  เราก็จะได้เตรียมการแก้ไขไม่ให้มันเลวร้ายลงมากนัก  นั่นก็เป็นเรื่องของนักเศรษฐศาสตร์  แต่ในด้านของนักลงทุนหรือคนเล่นหุ้น  พวกเขามองหา “สัญญาณ” เพื่อที่จะบอกว่าเขาควรที่จะทำอย่างไรหรือมีกลยุทธ์อย่างไรในการลงทุน  พูดง่าย ๆ  ก็คือ  ควรจะซื้อหรือขายหุ้นตัวไหน  สัญญาณในตลาดหุ้นนั้นมีมากมายที่คนเชื่อกันว่าสามารถบอกอนาคตของหุ้นหรือ ตลาดหุ้นได้แม่นยำ  อย่างไรก็ตาม  ความเป็นจริงก็คือ  น่าจะมีสัญญาณน้อยมากที่จะสามารถบอกอนาคตได้อย่างแม่นยำ  และที่สำคัญก็คือ  โอกาสที่อนาคตจะไม่เป็นไปตามที่คาดก็มีอยู่เสมอ  ไม่มีอะไรที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์  เพราะมิฉะนั้น  คนที่เล่นหุ้นตามสัญญาณก็รวยกันหมดแล้ว  ซึ่งตามทฤษฎีก็เป็นไปไม่ได้    แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  เราก็ยังอยากจะดูสัญญาณอยู่ดี  มันคงเป็นสัญชาติญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์  มาดูกันว่ามีสัญญาณอะไรในตลาดหุ้นที่นักลงทุนสนใจดูกัน

   สัญญาณตัวแรกที่นักเล่นหุ้นจับตาดูกันทุกวันก็คือ  ดัชนีดาวโจนส์    นักลงทุนเชื่อกันว่าถ้าดัชนีดาวโจนส์ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อคืนก่อนปรับ ตัวขึ้นแรง  ตลาดหุ้นไทยในวันนี้ก็จะปรับตัวขึ้นตาม  แต่ถ้าดัชนีดาวโจนส์ตกลงมาอย่างแรง  คืนนั้นนักเล่นหุ้นบางคนก็อาจจะ  “นอนไม่หลับ”  เนื่องจากกังวลว่าหุ้นที่ตนเองถืออยู่มากคงจะตกลงมาแรง  บางทีเขาอาจจะคิดว่า  “ทำไมเราไม่ขายไปก่อนวะ”  ราวกับว่าเขารู้ว่าดาวโจนส์กำลังปรับตัวลงมาอย่างหนัก   อย่างไรก็ตาม  สัญญาณดัชนีดาวโจนส์นั้น  ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก   เพราะในนาทีแรกที่ตลาดหุ้นไทยเปิด  ราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้น  หรือตกหนักลงไปทันที  เราไม่มีโอกาสที่จะซื้อหรือขายหนีก่อน  ดังนั้น  ดัชนีดาวโจนส์จึงเป็นอะไรที่นักวิเคราะห์ใช้ในการอธิบายสาเหตุว่าทำไมหุ้น จึงขึ้นหรือตกอย่างแรงถ้าไม่มีสาเหตุอย่างอื่น  มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณทำเงิน

   สัญญาณตัวที่สองที่นักเล่นหุ้นติดตามกันมากก็คือ  กลุ่มผู้ซื้อ-ขาย สุทธิในตลาดหุ้นประจำวัน  ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นกลุ่มนักลงทุนสถาบัน  หรือคือกลุ่มที่เป็นกองทุนต่าง ๆ  เช่น  กองทุนรวม  กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ  กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการเป็นต้น  กลุ่มนี้โดยธรรมชาติก็เป็นนักลงทุนที่ลงทุนระยะยาวกว่ากลุ่มอื่น และก็เป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายน้อยที่สุด  กลุ่มที่สองคือกลุ่มโบรกเกอร์ที่เข้ามาเล่นหุ้นโดยใช้เงินของบริษัทเอง  นี่เป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายค่อนข้างเร็วและน่าจะมีการเก็งกำไรสูง  ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าไม่เสียค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขาย  กลุ่มที่สามคือกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่มีปริมาณการซื้อขายมากเป็นอันดับ สองในตลาดหุ้นไทย   และเป็นกลุ่มที่นักลงทุนหรือนักเล่นหุ้นจับตามองมากที่สุด  เหตุผลก็คือ  นักลงทุนเชื่อว่าถ้า  “ฝรั่ง”  ซื้อสุทธิ  มาก ๆ  แนวโน้มก็คือ  ตลาดหุ้นจะขึ้น  ตรงกันข้าม  ถ้าฝรั่งขายหนัก ๆ  เรา  “ถอยดีกว่า”  เพราะนักลงทุนเชื่อในเรื่องของ  “Fund Flow”  นั่นคือ  เงินต่างชาตินั้นมีมาก  และพวกเขาจะเข้ามาซื้อหุ้นตัวใหญ่ ๆ  ทำให้ดัชนีและตลาดโดยรวมปรับตัวขึ้นอย่างแรงและเร็ว  สุดท้ายก็คือ  กลุ่มนักลงทุน  “รายย่อย”  ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเรียกว่า “นักลงทุนส่วนบุคคล” มากกว่า  เพราะในปัจจุบันนี้  จำนวนมากเป็น  “นักลงทุนรายใหญ่”  ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายของกลุ่มสูงที่สุดและมักจะมากกว่า 50% ของตลาดโดยรวม  ประเด็นก็คือ  อิทธิพลของ  “ฝรั่ง”  นั้น  ผมคิดว่าลดลงเมื่อเทียบกับในสมัยก่อนที่ตลาดหุ้นไทยมีแต่นักลงทุนรายย่อย จริง ๆ  ที่เล่นเก็งกำไร  กับต่างชาติที่รอบรู้กว่า  แต่ปัจจุบันไม่ใช่

   สัญญาณตัวที่สามคือ  การซื้อ-ขายหุ้นของผู้บริหาร  ถ้าเชื่อตามที่ ปีเตอร์ ลินช์ พูดก็คือ  การขายหุ้นของผู้บริหารนั้น  ไม่ได้หมายความว่าบริษัทคงจะมีผลประกอบการที่ไม่ดีหรือหุ้นจะแพงเกินไปแล้ว เสมอไป   ผู้บริหารอาจจะมีภาระหรือความจำเป็นต้องใช้เงินก็ได้  อย่างไรก็ตาม  ถ้าเราพบว่าผู้บริหารหลาย ๆ  คนต่างก็ขายหุ้นพร้อมหรือใกล้เคียงกันในจำนวนมาก  แบบนี้ก็อาจจะต้องคิดเหมือนกันว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผู้บริหาร ต่างก็ต้องการใช้เงินพร้อมกัน  ในกรณีอย่างนี้เราคงต้องวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนว่ามันเป็น “สัญญาณลบ”  ที่ทำให้เราขายหุ้นหรือไม่   ตรงกันข้าม  ปีเตอร์ ลินช์ บอกว่า  เหตุผลในการซื้อหุ้นของผู้บริหารนั้นมีเพียงประการเดียวนั่นคือ  เขาคิดว่าหุ้นมีราคาถูกคุ้มค่าและเขาสามารถทำกำไรได้จากการลงทุน  ดังนั้น  ผู้บริหารซื้อหุ้นจึงเป็นสัญญาณบวก   อย่างไรก็ตาม  ในกรณีของตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะที่ผู้บริหารกับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นรายเดียวกัน  การซื้อหุ้นของผู้บริหารก็อาจจะไม่ใช่สัญญาณบวกก็ได้  เหตุผลก็คือ  มันอาจจะเป็นการ  “ส่งสัญญาณลวง”  ให้นักเล่นหุ้นหรือนักลงทุนเข้ามาซื้อหุ้นเพื่อให้ราคาหุ้นวิ่งสูงขึ้นไป หรือพยุงราคาหุ้นไว้เพื่อให้ตนเองสามารถขายหุ้นได้สะดวก  เพราะในกรณีแบบนี้  หุ้นที่เขาซื้อนั้น  เป็นเพียงส่วนน้อยของหุ้นที่เขามี  ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องทำกำไรจากหุ้นในส่วนที่เขาซื้อเข้ามาเพิ่มจำนวน เพียงเล็กน้อย

   สัญญาณตัวสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  รายการซื้อขายหุ้นรายการใหญ่แบบจับคู่หรือการซื้อขายหุ้นแบบ  Big Lot  นี่คือการที่ผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นจำนวนมากตกลงขายหุ้นให้กับนักลงทุนรายใหญ่ ที่ต้องการซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก  โดยปกติก็คือ  คนที่ขายจะมีเพียงรายเดียวหรือไม่กี่รายที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่นอยู่ใน ครอบครัวเดียวกันหรือกลุ่มบริษัทเดียวกัน  ส่วนคนที่ซื้อนั้น  บางครั้งก็มีรายเดียวหรือไม่กี่รายที่เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่มักจะเป็น สถาบันที่ต้องการได้หุ้นจำนวนมาก  แต่บางครั้ง  โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นการขายหุ้นก้อนโตมหาศาลหลาย ๆ  พันหรือเป็นหมื่นล้านบาทขึ้นไปก็จะมีผู้ซื้อรายใหญ่จำนวนมากเป็นสิบ ๆ  รายหรือเป็นร้อยรายที่ต่างก็เข้ามาแสดงความจำนงซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ที่จะ ทำหน้าที่ในการขายหุ้นให้กับคนที่ต้องการขาย   การซื้อ-ขายหุ้นแบบ Big Lot นี้  มักทำกันแบบ “Over Night” หรือทำแบบ  “ข้ามคืน”  ในช่วงที่ตลาดหุ้นปิดแล้ว  ซึ่งการตกลงทุกอย่างจะทำภายในคืนนั้นและมา “จับคู่” ซื้อขายหุ้นกันในเช้าวันรุ่งขึ้น  โดยทั่วไปราคา ซื้อ-ขาย มักจะต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนเล็กน้อยประมาณ 3-5% ในกรณีที่เป็นรายการที่ไม่ใหญ่มาก  แต่ในกรณีที่เป็นรายการใหญ่มาก บางทีอาจจะต่ำกว่า 10% ก็มี

   สัญญาณจากการขายแบบ Big Lot นั้น  แม้ว่าในหลาย ๆ  กรณีผู้ขายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเป็นผู้บริหาร  แต่ก็ไม่ได้เป็นสัญญาณลบเสมอไป  อย่าลืมว่าการขายของเขานั้นอาจจะมาจากเรื่องของการต้องการใช้เงินหรือเป็น การลดพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยงก็ได้  ไม่ใช่แปลว่าหุ้นจะไม่ดี  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  คนที่ซื้อเองนั้นก็เป็นนักลงทุนรายใหญ่และส่วนใหญ่เป็นสถาบัน  ดังนั้น  ถ้าหุ้นไม่ดีหรือไม่คุ้มค่าพวกเขาก็คงไม่ซื้อ   สิ่งที่จะเป็นลบที่เห็นได้ชัดเจนจากการทำ Big Lot ก็คือ  ราคาหุ้นที่ซื้อขายนั้นจะต่ำกว่าราคาหุ้นบนกระดาน  ดังนั้น  คนที่ซื้อบางรายอาจจะรีบ “ทำกำไร”  ทันทีโดยการขายหุ้นที่ได้มาในตลาด  และนี่ทำให้ราคาหุ้นในวันแรกที่ทำ Big Lot มักจะตกลงมาใกล้เคียงกับราคาที่มีการตกลงซื้อขายกัน    อย่างไรก็ตาม  หลังจากวันแรกไปแล้ว  ราคาหุ้นก็มักจะกลับมาซื้อขายกันตามพื้นฐานที่ควรจะเป็น  ดังนั้น  ข้อสรุปของผมก็คือ  การขาย Big Lot ในระยะสั้นอาจจะเป็นลบเล็กน้อย  แต่ในระยะยาวแล้วก็ไม่มีผลอะไร  ว่าที่จริงในบางกรณีกลับเป็นบวก  เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นตัวนั้นอาจจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเนื่องจากมีนักลงทุน สถาบันเข้าลงทุนมากขึ้น  สภาพคล่องดีขึ้น  ทำให้ราคาหุ้นดีขึ้น

   และทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงสัญญาณส่วนหนึ่งที่คนในตลาดหุ้นชอบติดตามและบ่อย ครั้ง Take Action  หรือตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง  แต่สำหรับ VI แล้ว  เรื่องเหล่านี้  เรามักจะติดตามเหมือนกัน  แต่ส่วนใหญ่แล้วเราก็ไม่ควรจะทำอะไรยกเว้นแต่มันมีเหตุผลที่น่าจะทำหลังจาก ที่ได้ศึกษาอย่างถี่ถ้วนแล้วเท่านั้น

 บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 8 มกราคม 2556

No comments:

Post a Comment