Wednesday, February 20, 2013

The New Elite

เมื่อผมยังเป็นเด็ก คนที่เป็น "ชนชั้นนำ" หรือที่เรียกกันว่า Elite ในภาษาอังกฤษนั้น ที่สูงที่สุดน่าจะอยู่ในแวดวงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ รวมถึงนายทหารชั้นสูงที่ มี "นามสกุล" ที่เก่าแก่เป็นที่รู้จักกันในสังคม พวกเขามีทรัพย์สมบัติมากกว่าคนทั่วไปมากโดยเฉพาะที่ดินในทำเลทองของกรุงเทพ ลูกหลานของพวกเขามักเล่าเรียนในโรงเรียนชั้นนำของประเทศ และถ้าเป็นเด็กผู้ชายจะย้ายไปอยู่โรงเรียนประจำในต่างประเทศ เมื่ออายุอาจ 12-15 ปี หลังจากนั้นอาจเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่มีชื่อเสียง ระดับโลก หลังจากนั้น หลายคนก็กลับมารับราชการ และอาจจะเล่นการเมืองจนมีตำแหน่งใหญ่โตมีชื่อเสียง นั่นคืออีลิทชั้นสูงที่สุด ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก


อีลิทระดับรองลงมาที่มีจำนวนมากกว่าและ "มาแรงกว่า" คือ กลุ่มเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ที่เริ่มสะสมความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการที่เศรษฐกิจของไทยเติบโตรวดเร็ว คนกลุ่มนี้มักเป็นคน "รุ่นที่สอง" ของชาวจีนอพยพที่เข้ามาริเริ่มธุรกิจ ที่ยังมีไม่มากนักในเมืองไทย พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะ "สร้างสถานะ" ทางสังคมด้านต่างๆ โดยอิงกับธุรกิจและการมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่อยู่ในกลุ่มอีลิทชั้นสูงและพวก เดียวกัน ลูกหลานของอีลิทในกลุ่มนี้มักเล่าเรียนในโรงเรียนเอกชนชั้นนำของประเทศเฉพาะ อย่างยิ่งโรงเรียนในเครือคาทอลิกซึ่งมีประมาณ 7-8 แห่งทั้งโรงเรียนชายและหญิง ซึ่งโรงเรียนเหล่านี้ มักรับนักเรียนจากพ่อแม่ที่เคยเป็นศิษย์เก่า ทำให้ภาพของโรงเรียนกลายเป็นโรงเรียนของอีลิทไปด้วย เด็กเหล่านี้เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ก็มักจะเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ บางคนที่สอบเอนทร๊านซ์ไม่ติด ก็เดินทางไปเรียนต่อในต่างประเทศที่เจริญแล้ว โดยเฉพาะอเมริกาและอังกฤษ

เวลาผ่านไปพร้อมๆ กับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยมหาศาล ระบบการเมืองก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ข้าราชการที่เคยมีบทบาทและบารมีสูงส่งถูกลดบทบาทลงเรื่อยๆ ขณะที่นักการเมืองที่มักจะมาจากประชาชนธรรมดา กลับมีอำนาจมากขึ้นและมากขึ้น ด้านนักธุรกิจ พวกเขาก็เติบโตและร่ำรวยขึ้นมากกว่า "เศรษฐีและผู้ดีเก่า" เทียบกันไม่ได้ เหล่านี้ทำให้อีลิทที่เป็นชนชั้นนำรุ่นแรกที่กล่าวถึงลดสถานะลง ว่าที่จริงถ้ามีแต่ "นามสกุลเก่า" แต่ไม่ได้ร่ำรวยมากแล้ว ความเป็นอีลิทอาจถือได้ว่าหมดไปแล้ว "อีลิทรุ่นใหม่" ที่มักประกอบด้วยเจ้าของธุรกิจ "สมัยใหม่" ที่มีขนาดใหญ่ในวันนี้ไม่ได้มี "นามสกุลเก่า" พวกเขามีนามสกุลยาวที่อาจตั้งขึ้นมานาน 2-3 ชั่วอายุคน ครอบครัวไม่มีประวัติที่เกี่ยวข้องกับงานราชการและไม่สนใจที่จะทำราชการ ยกเว้นว่าอาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับรัฐในฐานะของนักการเมืองสำหรับบางคน

ลูกของคนที่เป็นอีลิทรุ่นใหม่ ผมคิดว่า พวกเขาเริ่มเรียนในโรงเรียนอินเตอร์มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนอาจส่งลูกไปเรียนต่างประเทศตั้งแต่เด็ก แต่การส่งลูกเข้าโรงเรียนคาทอลิกอย่างที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้ น่าจะค่อยๆ ลดลง การมีลูกเรียนในโรงเรียนแบบไทย ในไม่ช้าผมคิดว่า จะไม่ใช่หนทางของอีลิทรุ่นใหม่อีกต่อไป คนที่ร่ำรวยมากๆ และถือเป็นอีลิทในวันนี้ที่ผมเห็น ดูเหมือนจะส่งลูกเข้าโรงเรียนอินเตอร์ที่เปิดขึ้นมามากมาย บางคนก็ส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ในโรงเรียนอินเตอร์ที่ "แพงและโดดเด่น" บางแห่ง เวลานี้เต็มไปด้วยเด็กที่พ่อแม่มีฐานะร่ำรวยมหาศาล และอาจต้องการให้ลูกได้อยู่ในบรรยากาศและเพื่อนที่มีพ่อแม่เป็นอีลิท เราพอจะคาดได้ว่า เด็กเหล่านี้จะกลายเป็นอีลิทในอนาคต จะเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก พวกเขาจะ "โกอินเตอร์" โดยใช้ภาษาอังกฤษที่ใช้กันแพร่หลายเพิ่มขึ้นทั่วโลก

ภาษาจีนที่อาจจะมีคนคิดว่า เราต้องรู้เพื่อสื่อสารติดต่อกับคนจีน ที่มีกว่าพันล้านคน และธุรกิจของจีนที่กำลังเติบโตขึ้นมหาศาล และคงเป็นอันดับหนึ่งของโลกในที่สุดนั้น ผมไม่คิดว่า อีลิทรุ่นใหม่จะสนใจเรียนรู้มากนัก เหตุผลคือ การติดต่อกับธุรกิจจีน โดยเฉพาะที่เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ สามารถติดต่อเป็นภาษาอังกฤษได้ เพราะคนจีนต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ การที่อีลิทรุ่นใหม่จะเรียนรู้ภาษาจีน จึงไม่น่าจะ "คุ้มค่า" พูดถึงเรื่องนี้ทำให้ผมหวนนึกถึงเพื่อนนักเรียนร่วมสมัยของผมที่เรียนภาษา ฝรั่งเศสและสเปน ที่ป่านนี้อาจจะมีโอกาสใช้ให้เป็นประโยชน์น้อยมาก

เช่นเดียวกับภาษาญี่ปุ่น ที่ผมคิดว่าไม่น่าจะทำเงินหรือเป็นประโยชน์มากนัก เหตุผลที่ภาษาอื่นๆ มีการพูดในระดับสากลน้อยลง ผมคิดว่า เพราะเป็นภาษาที่ "ชนะ" ซึ่งจะได้เปรียบมากขึ้น ก็คล้ายๆ เครือข่ายสังคมที่ถ้ามีคนเข้ามาร่วมมากขึ้น ก็ทำให้คนใหม่ๆ อยากเข้ามาร่วมมากขึ้น และทำลายเครือข่ายที่เล็กกว่าในที่สุด ด้วยเหตุผลแบบนี้ ผมจึงคิดว่า การเรียนภาษาจีนอาจไม่คุ้ม และถ้าจะให้เลือกว่าเราใช้ภาษาอังกฤษที่ดีมากภาษาเดียว กับการที่ใช้ได้สองภาษาแบบงูๆ ปลาๆ ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนรู้เท่ากัน ผมเลือกที่จะขอใช้ภาษาอังกฤษดีกว่า

อีลิทรุ่นใหม่ ไม่ได้เหมือนอีลิทรุ่นเก่าในด้านสังคม พวกเขาไม่จำเป็นต้องมี "หัวโขน" หรือตำแหน่งหน้าที่การงานที่อยู่ในระดับสูงกว่าตามสายบังคับบัญชา คนไม่สนใจว่า คุณจะเป็นหัวหน้ากอง เป็นอธิบดี เป็นทูต เช่นเดียวกับตำแหน่งทางบริษัท หรือองค์กรทางธุรกิจว่า คุณเป็นผู้จัดการฝ่าย เป็นผู้ช่วยผู้จัดการ หรือตำแหน่งอะไรในบริษัท ชื่อเสียงหรือความ "ดัง" หรือความสามารถที่เป็นที่ยอมรับ จะเป็นสิ่งที่อีลิทแสวงหา นี่คงเป็นเหตุผลอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ลูกหลานอีลิทช่วงเวลานี้ต่างอยากเป็นดารา นักร้อง พิธีกร แม้แต่ลูกหลานนักการเมืองใหญ่ที่โด่งดัง หรือนักธุรกิจใหญ่มากๆ หลายคน เลือกที่จะเป็นดารา พิธีกร หรือเป็นนักเขียน แทนที่จะทำงานตามรอยพ่อแม่ แม้งานนั้นอาจจะไม่ใช่งานถาวรที่จะทำต่อไปตลอด ในอีกด้านหนึ่ง อีลิทรุ่นใหม่หลายคนก็เข้ามาเกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์กับดารา ซึ่งทำให้ตนเองกลายเป็นคนดังไปด้วย ว่าที่จริง ดาราระดับ "ซูเปอร์สตาร์" ของไทยขณะนี้ผมคิดว่า พวกเขามีสถานะเป็นอิลิทกลุ่มหนึ่งของสังคมไทยแล้ว เมื่อดูจากฐานะการเงินและชื่อเสียงของพวกเขา

ผมคงจะจบเรื่องอีลิทรุ่นใหม่ไปไม่ได้ ถ้าไม่พูดว่า นักลงทุนโดยเฉพาะแบบ VI ที่ประสบความสำเร็จสูง และหรือมีพอร์ตการลงทุนที่ใหญ่โตด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม น่าจะกลายเป็นอีลิทอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ใหม่ที่สุด และใหม่กว่ากลุ่มดาราแน่นอน พวกเขาหลายๆ คนมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ทำธุรกิจ และมีสถานะดี บางทีอาจจะเป็นอีลิทอยู่แล้ว แต่การเป็นนักลงทุน เป็นอีกสถานะหนึ่งที่สังคมน่าจะเริ่มยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ พูดง่ายๆ คนไม่คิดว่าการร่ำรวยจากการลงทุนนั้น เป็นเรื่องการพนัน หรือเป็นเรื่องของคนขี้เกียจไม่ทำงาน ที่สำคัญ เป็นสถานะที่คนทั่วไปไขว่คว้าได้ มีบทเรียนที่คนเรียนรู้และใช้เพื่อที่จะไปถึงสถานะที่เป็นอีลิทในสังคม และถ้าจะว่าไป นี่คือเส้นทางที่จะทำให้คนเปลี่ยนสถานะได้ โดยที่เขาไม่ต้องทำสิ่งที่เป็นการฉ้อฉล หรือเอาเปรียบคนอื่น เพราะการลงทุน โดยเฉพาะที่เป็นแบบ VI เป็นเกมหรือการทำงานที่แฟร์ที่สุดอย่างหนึ่ง

  บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 15 มกราคม 2556


No comments:

Post a Comment