ในการที่เราจะเข้า ใจ Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง สิ่งที่เราจะต้องรู้ คือพฤติกรรมของคนในโลกและในประเทศซึ่งมักจะสอดคล้องใกล้
เคียงกัน เพราะโลกเราเป็น Globalization ในการศึกษาพฤติกรรมของคน
พบว่าคนในแต่ละยุค
หรือพูดให้ชัดคือคนที่เกิดในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นมักจะมีแนวคิด
หรือพฤติกรรมต่างกัน ซึ่งนี่ก็เกิดขึ้น เพราะเหตุการณ์
หรือพัฒนาการสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น เกิดสงครามโลก
หรือเกิดระบบอินเทอร์เน็ตที่ประชาชนทุกคนสามารถใช้ได้เป็นต้น
ในทางวิชาการได้มีการจัดคนที่เกิดช่วงปีต่างๆ
ออกเป็นกลุ่มที่มีคำเรียกแทนลักษณะสำคัญของคนในยุคสมัยหรือรุ่นนั้น
โดยที่ผมจะเริ่มจากยุคที่แก่ที่สุด
ที่ยังมีจำนวนและบทบาทอยู่ในปัจจุบันนั่นคือ ยุค Baby Boom หรือยุค
"ลูกมาก" นี่คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1945
ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มีเด็กเกิดใหม่มากมาย
การที่ครอบครัวจะมีลูก 5-6 คน เป็นเรื่องธรรมดา บางบ้านมีเป็นสิบคน
ยุค "เบบี้บูม" สิ้นสุดลงในปี 1964 หรือกินเวลา 19 ปี
และถ้านับถึงวันนี้ คือกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 48-67 ปี
ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น และผมจะมีไอเดีย หรือแนวคิด
หรือมุมมองต่อโลกแบบหนึ่งของคนที่อยู่ในยุคนี้ นอกจากนั้น ผมพอจะเข้าใจว่า
คนในรุ่นนี้มักจะคิดอย่างไรต่อเรื่องต่างๆ ในชีวิตและในสังคม
พวกเบบี้บูม หรือถ้าจะพูดวันนี้ว่าเป็นพวก "คนแก่" มักจะเป็นคนที่
"อนุรักษนิยม" เป็นคนที่ชอบประเพณีที่ดีงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและ
"ศีลธรรมอันดี" พวกเขาจะชื่นชอบ และเคารพเชื่อถืออะไรก็ตามที่เป็น
"สถาบัน" ของประเทศ หรือของสังคม หรือชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่
คนที่ไม่ยึดถือประเพณี ความเป็นระเบียบ หรือสิ่งต่างๆ
ที่กล่าวถึงนั้นจะถูกมองว่าเป็น "คนไม่ดี"
และต้องถูกลงโทษทั้งด้านสังคมและกฎหมายถ้ามี
แม้แต่เรื่องความรู้สึกส่วนตัวที่เป็นเรื่อง "ธรรมชาติ"
เช่นเรื่องของเซ็กซ์ก็ถูก "ควบคุม" โดยสังคม
คนที่ฝ่าฝืนมักถูกสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง
ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกลายเป็นหญิงที่มี
"มลทิน" ในบางสังคมซึ่งรวมถึงไทยด้วย
นี่คือคุณลักษณะคร่าวๆ ของเบบี้บูมเมอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมาก
หรือน่าจะมากที่สุดในบรรดากลุ่มทั้งหลายที่ผมจะกล่าวต่อไป ประเด็นคือ
บทบาทหรืออิทธิพลของพวกเขายังสูงยิ่ง ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ สังคม
และการเมือง พวกเขาอาจจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว นับวันก็จะถดถอยลงไปเรื่อยๆ
ว่าที่จริง นายกรัฐมนตรีของไทย 2 คนสุดท้ายนั้น
ก็ไม่ได้เป็นพวกเบบี้บูมเมอร์แล้ว
คนรุ่นต่อมาที่มีพฤติกรรม และแนวความคิดเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเบบี้บูม
คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งถือเป็น "ลูกคนแรก" ของพวกเบบี้บูม
จนถึงคนที่เกิดก่อนปี 1981 คิดเป็นเวลา 16 ปี หรือถ้านับถึงวันนี้
คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 31-47 ปี นี่คือกลุ่มที่เรียกว่า "Generation X"
ซึ่งเป็นชื่อที่คนที่ศึกษาไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรจึงใช้คำว่า X
คนกลุ่มนี้ถูก "ค้นพบ" เมื่อมีการศึกษาโดยนักเขียนอังกฤษชื่อ Jane
Deverson ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจ และสอบถามความคิดของเด็กวัยรุ่น
เพื่อตีพิมพ์ในแมกาซีน แต่สิ่งที่เธอพบ กลับทำให้เธอ "ขวัญผวา"
เพราะเด็กวัยรุ่นเหล่านั้น มีมุมมอง และความคิดที่ขัดแย้งกับความเชื่อ
และความคิดเดิมอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น
พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เคารพนับถือพ่อแม่ ไม่เชื่อในพระเจ้า
และหลับนอนกันก่อนแต่งงาน
แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาไม่ชอบ "สถาบัน"
ซึ่งทำให้บทความนั้น ไม่สามารถตีพิมพ์ในอังกฤษได้ เพื่อให้บทความ
หรือผลการศึกษาไม่เสียเปล่า เธอจึงไปร่วมเขียนเป็นหนังสือกับนาย Charles
Hamblett ที่อเมริกาและตั้งชื่อว่า Generation X
คน GEN-X มีแนวโน้มเป็นคน "ต่อต้านสังคม" และ "ต่อต้านสถาบัน"
พวกเขาอยากเป็นคนทำงาน "อิสระ" มากกว่าที่จะเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่ๆ
ในทางสังคม พวกเขาเห็นว่า การหย่าร้างเป็นเรื่องปกติ
การอยู่กินกันโดยไม่แต่งงานไม่ใช่เรื่องแปลก เช่นเดียวกับการเป็นเกย์
หรือเลสเบียน
ยุคนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีข่าวสารข้อมูลและอินเทอร์เน็ตกำเนิดขึ้น
พวกเขาจึงคุ้นเคย และใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การค้นหาข้อมูลและความรู้ทำได้แค่ปลายนิ้ว ผลจากความก้าวหน้าด้าน IT
ทำให้การก่อตั้งกิจการขนาดย่อมเกิดขึ้นมากมายจากคนเจนเอ็กซ์
พวกเขาเป็นนักคิดสร้างสรรค์ที่สร้างผลงานใหม่ๆ
มากมายให้กับโลกและกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ๆ โดยไม่มีข้อจำกัด
ในทางสังคมและการเมือง คนรุ่น GEN X เน้น "ความเท่าเทียม" กันสูง
ผู้หญิงไม่ยอมเป็น "ช้างเท้าหลัง" ความสามารถในการพึ่งพาตนเอง
ทำให้คนรุ่นนี้มีลูกน้อย บางทีไม่ต้องการเลย
คนรุ่นต่อมาคือ GEN Y นี่คือ "เด็กรุ่นใหม่"
ที่เกิดจากคนรุ่นเบบี้บูมหลังจากปี 1981-1997 ซึ่งคือคนที่มีอายุตั้งแต่
15-31 ปี นี่คือคนที่เกิดมา ก็มีระบบอินเทอร์เน็ตใช้กันแล้ว
พวกเขาไม่คุ้นเคยกับแนวชีวิตของคนรุ่นเก่า เพื่อนของเขาส่วนใหญ่
ติดต่อกันผ่านการส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือ พวกเขาไม่ดูทีวี หรือดู
"หนังแผ่น" แต่ใช้วิธีดาวน์โหลดภาพยนตร์จากอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก
คน GEN-Y มีความเป็น "สากล" มาก การมีเพื่อนเป็นคนต่างชาติ
และต่างวัฒนธรรมเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการมีแฟนเป็นคนต่างชาติ
การนิยมชมชอบวัฒนธรรม หรือศิลปินต่างชาติเป็นเรื่องธรรมดา
พวกเขา"ไม่ต่อต้านสถาบัน" แต่ใช้วิธี "หลีกเลี่ยง" มากกว่า
คน GEN-Y เป็นพวกที่มีจินตนาการสูง พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ
ด้านงานอาชีพ พวกเขาชอบทำงานด้าน IT และธุรกิจด้านความบันเทิงมากกว่างาน
"ใช้มือ" ที่สำคัญ พวกเขาอยากทำงานที่ทำให้ รวยเร็วหรือดังเร็ว
การเงินก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผมคงไม่พูดถึง GEN Z ซึ่งคือเด็กที่อายุไม่ถึง 15 ปี
ปัจจุบันเป็นหลานของเบบี้บูม แต่จะพูดถึงนักลงทุนที่เป็น VI ในไทย
เหตุผลเพราะว่า จากการสังเกตผมพบ VI ไทยที่ประสบความสำเร็จสูง
และมีพอร์ตขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับอายุ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคน GEN-X ซึ่งคือ VI
ที่มีอายุระหว่าง 31-47 คนกลุ่มนี้ ผมคิดว่าอยู่ในสถานะที่
"ได้เปรียบที่สุด" ในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เหตุผลคือ
หนึ่งพวกเขาเป็นลูกของเบบี้บูม
ที่ได้สะสมความมั่งคั่งไว้มากพอที่จะให้ลูกได้เริ่มลงทุนเต็มที่ได้
ข้อสอง พวกเขาเป็นนักลงทุน ที่มักจะไม่ได้ผ่านเหตุวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 พวกเขาเข้าตลาดช่วงที่ตลาดหุ้นเติบโตรวดเร็วและมั่นคงตลอดมา
ข้อสาม พวกเขาได้เรียนรู้หลักการ VI มาตั้งแต่เริ่มเข้าตลาด จึงมีหลักการการลงทุนที่ถูกต้องตั้งแต่แรก
และข้อสุดท้ายที่ผมจะพูด คือ พวกเขาเป็นคนที่ไม่ติดยึดกับอะไรที่เป็น
"สถาบัน" พวกเขาไม่คิดว่าต้องทำงานและเติบโตตามระบบ หรือในบริษัทขนาดใหญ่
ตรงกันข้าม พวกเขาอยากเป็น "อิสระ" โดยการทำธุรกิจเช่น
ตั้งบริษัทขนาดเล็กและเป็นตัวของตัวเอง หลายคนมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นแบบ
VI เป็นหนทางแห่งความสำเร็จทางหนึ่ง และโชคดี หลายคนได้บรรลุความฝันนั้น
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 27 พฤศจิกายน 2555
No comments:
Post a Comment