อุตสาหกรรมแต่ละอย่างมีการเปลี่ยนแปลงช้าเร็วไม่เท่ากัน บางอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่บางอย่างช้ามาก การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว มักจะมีการเปลี่ยนแปลง
ของเทคโนโลยี หรือพฤติกรรมของคน หรือไม่ก็เกิดจากลักษณะ
หรือคุณสมบัติของกิจการที่มีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม หรือภาวะเศรษฐกิจสูง
ซึ่งทำให้บางช่วงเวลาบริษัทในอุตสาหกรรมประสบกับความล้มเหลวอย่างรุนแรงและ
กว้างขวาง และทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม
ผลของการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในอุตสาหกรรมที่ชัดเจน ก็คือ
บริษัทที่เคยรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ กลายเป็นบริษัทที่ล้มเหลวตกต่ำลง
ขณะเดียวกัน บริษัทที่เคยเป็นรอง หรือบริษัทขนาดเล็กเติบโตขึ้น
กลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่แทนในระยะเวลาอันสั้น
ลองมาดูกันว่าอุตสาหกรรมอะไรที่เปลี่ยนเร็ว และอุตสาหกรรมอะไรที่เปลี่ยนช้า
อุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงเร็วที่สุด คือ อุตสาหกรรมไฮเทคทั้งหลาย
โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และการสื่อสารโทรคมนาคม
เพราะนี่คือภาคอุตสาหกรรมที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยีและการ
ประยุกต์ใช้ ถ้าลองนึกย้อนหลังไปไม่นานนัก พบว่า
บริษัทที่ยิ่งใหญ่ในอดีตจำนวนมาก บัดนี้กลายเป็นบริษัทที่ "มีปัญหา"
ไล่ตั้งแต่อดีตยาวนาน ก็มี บริษัท เท็กซัสอินสตรูเม้นท์ ที่โด่งดังมากสมัย
40 ปีก่อน
ที่ผมยังเรียนวิศวกรรมในมหาวิทยาลัยที่เป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขเครื่องแรกๆ
ของโลกและ ฟิลิปส์ ฟิชเชอร์ ปรมาจารย์การลงทุนคนหนึ่งที่ บัฟเฟตต์ ยกย่อง
กล่าวถึงว่าเป็นบริษัทที่เป็น "ซูเปอร์สต็อก" แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้อยู่ไหน
ต่อมาก็มีบริษัท IBM คอมพิวเตอร์ หรือ BIG BLUE หรือ "ยักษ์สีฟ้า"
สัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นตัวแทนของอเมริกันที่เป็น
"จ้าวแห่งเทคโนโลยีโลก" แต่แล้ว บริษัทเล็กๆ ก่อตั้งโดยเด็กอายุไม่ถึง 20
ปีชื่อ ไมโครซอฟท์ ก็ก้าวขึ้นมาแข่งขันด้วยซอฟต์แวร์ควบคุม
"คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล" ที่ในที่สุดสามารถแย่งชิงการนำในธุรกิจคอมพิวเตอร์
และกลายเป็น "ราชันย์แห่งโลกของไอที" ในเวลาอันสั้น แม้บริษัท IBM
ก็ยังยิ่งใหญ่อยู่ แต่บทบาทในฐานะผู้นำทางด้านธุรกิจก็แทบไม่เหลือแล้ว
มาถึงยุคของโทรคมนาคม เรามีโมโตโรล่า ที่ในยุคแรกของโทรศัพท์มือถือ
ทุกคนต้องใช้เครื่องของโมโตโรล่า แต่แล้วในเวลาไม่นานนัก
ทุกคนต่างต้องการใช้มือถือของโนเกีย บริษัทสุดยอดด้านไฮเทคจากฟินแลนด์
ที่อดีตถูกปรามาสว่าเป็น "ประเทศหลังเขาแห่งยุโรป"
โนเกียกลายเป็นความภาคภูมิใจของฟินแลนด์และหุ้นโนเกีย
ใหญ่คับตลาดหุ้นฟินแลนด์ แต่แล้ว
โนเกียก็ประสบชะตากรรมแบบเดียวกับโมโตโรล่า เพราะบริษัทกำลังประสบกับปัญหา
เนื่องจากแอ๊ปเปิ้ลได้เข้ามายึดกุมตลาดของสมาร์ทโฟนที่เป็นที่คลั่งไคล้ของ
คนทั้งโลก หุ้นของแอ๊ปเปิ้ลกลายเป็นหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ผมยังไม่ได้พูดถึงบริษัทไฮเทคที่เคยยิ่งใหญ่จำนวนมาก อาทิเช่น พานาโซนิค
โซนี่ ชาร์ป หรือ บริษัทโกดัก ต่างก็ตกลงมาจากจุดสูง
และแทนที่อาจจะโดยซัมซุงและบริษัทที่เคย "รองบ่อน" อื่นๆ
เพราะคงไม่มีเนื้อที่พอที่จะกล่าวถึง
และนี่ยังไม่นับผู้เล่นที่กำลังกลายเป็น "ราชัน" ใหม่ๆ อย่าง
กูเกิลและเฟซบุ๊ค ประเด็นของผม คือ "ราชัน" ในวันนี้อาจกลายเป็น "ยาจก"
ในวันข้างหน้าได้ บางทีในเวลาไม่นานนัก
อีกด้านหนึ่ง อุตสาหกรรมอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงช้ามาก
โค้ก เป็นเครื่องดื่มที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกมาช้านานอาจจะเกือบร้อยปี
ถึงวันนี้โค้กก็ยังยิ่งใหญ่เหมือนเดิม หรือยิ่งใหญ่ขึ้น
โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะมีเครื่องดื่มชนิดไหนมาแซงได้ เช่นเดียวกัน
แมคโดนัลด์ ก็เป็นอาหารที่ยิ่งใหญ่พอๆ กันและนับวันมันจะขยายไปทั่วโลก
โดยที่ยังหาคนที่มาต่อกรได้ยาก นอกจากอาหารแล้ว
ธุรกิจค้าปลีกประเภทขายสินค้าราคาถูกอย่างวอลมาร์ท คาร์ฟูร์ และเทสโก้
เหล่านี้ต่างก็เป็นผู้นำในตลาดของประเทศตนเอง และตลาดโลกมาช้านาน
โดยที่ไม่มีความเสี่ยงที่จะมีคู่แข่งมาทำลายตำแหน่งของตนเองได้
เป็นที่น่าสังเกตว่าทั้งสองอุตสาหกรรมต่างก็เป็นธุรกิจ "โลว์เทค"
ที่มีการใช้เทคโนโลยีน้อยมาก
อุตสาหกรรมที่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็วระดับกลางๆ ผมคิดว่า
น่าจะอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความไวต่อสภาวะเศรษฐกิจ
หรือมีความเกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น
อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร
ที่มักจะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงภาวะวิกฤติที่ทำให้ผู้นำ
หรือบริษัทที่โดดเด่นแต่บริหารงานอย่างไม่ระมัดระวังต้องประสบปัญหาล้มหาย
ตายจากไปและมีบริษัทระดับรองก้าวขึ้นมาแทนที่ เช่นเดียวกัน การวางกลยุทธ์
หรือการบริหารงานที่ผิดพลาด อาจจะทำให้บริษัทที่เป็นผู้นำค่อยๆ
เสียส่วนแบ่งการตลาดไปทีละน้อยจนในที่สุดกลายเป็นผู้ตามได้
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทย ค่าที่ว่าเราไม่มีอุตสาหกรรมไฮเทคจริงๆ
ผมจึงลองมาคิดดูว่าอุตสาหกรรมอะไร ที่น่าจะถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงเร็ว
คำตอบของผมคือ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะที่ทำเพื่อขาย เช่น
บริษัทขายบ้านจัดสรร เหตุผลก็คือ นี่คือธุรกิจที่ต้อง "นับหนึ่งใหม่" ทุกปี
เพราะลูกค้าเดิมไม่ซื้อซ้ำ ดังนั้น
เราจึงเห็นบริษัทที่เป็นผู้นำอันดับหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก
ระหว่างอันดับหนึ่งกับอันดับ 2 และ 3 ยอดขายไม่ได้ทิ้งห่างกัน
และดูเหมือนว่าโอกาสที่อันดับหนึ่งอาจจะ "แพ้" เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ธุรกิจการเงินเองซึ่งรวมถึงธนาคารด้วย ดูเหมือนว่า
จะเปลี่ยนแปลงที่เร็วพอสมควร อันดับหรือความโดดเด่น
อยู่ในระดับที่สู้กันได้อย่างน้อยใน 3 อันดับแรก ในธุรกิจหลักทรัพย์
ผมคิดว่ามีโอกาสที่ผู้นำจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
บางทีอาจจะเกิดขึ้นจากการขยายตัวภายใน
หรืออาจจะมีการควบรวมกับรายอื่นทำให้สถานะและความสามารถในการแข่งขันเปลี่ยน
แปลงไปในเวลาไม่นานนัก
เช่นเดียวกับต่างประเทศ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับอาหาร ค้าปลีก
และอาจจะรวมถึงพลังงาน น่าจะเปลี่ยนแปลงไปช้า ผู้นำก็ยังคงเป็นผู้นำ
ตำแหน่งทางการตลาด ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ง่าย
เช่นเดียวกับผลประกอบการที่มักจะมีความสม่ำเสมอมากกว่าธุรกิจที่มีการ
เปลี่ยนแปลงเร็ว
ธุรกิจไอที สื่อสาร บันเทิง สื่อ และสิ่งพิมพ์
น่าจะเปลี่ยนแปลงที่เร็วพอสมควร
โดยเฉพาะช่วงที่มีเทคโนโลยีและการกำกับควบคุมใหม่ๆ เกิดขึ้น
ในธุรกิจเหล่านี้
บางทีเราต้องระวังว่าผู้นำอาจจะเพลี่ยงพล้ำและผู้ตามหรือผู้เล่นหน้าใหม่
ขึ้นมากลายเป็น "ดารา" ได้
มองในมิติของหุ้น ผมเองไม่ชอบอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงเร็ว
เพราะบริษัทในอุตสาหกรรมจะมีความเสี่ยงมากกว่าปกติ บ่อยครั้งผมจะหลีกเลี่ยง
โดยเฉพาะถ้ากำลังอยู่ในช่วงที่เปลี่ยนแปลงรุนแรง
แต่ถ้าผมคิดจะลงทุนในอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ผมมัก "ขอส่วนลด"
หรือให้ค่า PE
ของหุ้นต่ำกว่าหุ้นของบริษัทที่มีสถานะใกล้เคียงกันแต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่
"มั่นคง" กว่า
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 8 พฤษภาคม 2555
No comments:
Post a Comment