ผมได้อ่านหนังสือเรื่อง “กฎของชีวิต” (The Rules of Life) เขียนโดย Richard Templar แล้วก็นึกไปถึงเรื่องของการลงทุน
เพราะกฎหลาย ๆ ข้อนั้น ผมคิดว่ามันนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้เป็นอย่างดี ลองมาดูกันทีละข้อ
ข้อแรกที่ผมคิดว่านักลงทุนควรนำมาใช้ก็คือ
“รู้ว่าอะไรสำคัญและอะไรไม่สำคัญ” ผมคงไม่พูดในเรื่องอื่น ๆ ของชีวิต
แต่ในเรื่องของการลงทุนแล้ว นี่คือสิ่งที่จะทำให้เราชนะหรือแพ้ได้
ยกตัวอย่างเช่น
เราคิดว่าการอยู่รอดของเศรษฐกิจกรีซนั้นสำคัญต่อการทำกำไรหรือผลประกอบการ
ระยะยาวของบริษัทหรือหุ้นที่เราลงทุนอยู่ไหม? ถ้าเราคิดว่าไม่
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปกังวลว่ากรีซจะแก้ปัญหาของตนเองได้หรือไม่
ในความเป็นจริง สิ่งที่สำคัญในเรื่องของการลงทุน
ก็เช่นเดียวกับในเรื่องของชีวิต คือมันมีอยู่ไม่มาก
และเราก็ควรจะต้องรู้ อย่าสนใจหรือทุ่มเทกับสิ่งที่ไม่สำคัญมากนัก
ข้อสอง “ถ้าคุณจะกระโดดลงคลอง
ก็ขอให้แน่ใจว่าคุณรู้ว่าน้ำนั้นลึกเท่าไร”
นี่ก็เป็นเรื่องของการรู้ว่าความเสี่ยงของชีวิตและในกรณีของเราก็คือ
การลงทุน เป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น
ถ้าเราซื้อหุ้นตัวเดียวด้วยเงินทั้งหมดและใช้มาร์จินด้วยโดยที่เราคิดว่า
หุ้นตัวนั้นดีเยี่ยมและถูกมากและมันจะทำให้เรารวยไปเลย
เราก็อาจจะพลาดและเกิดหายนะได้ ดังนั้น ในการลงทุนทุกครั้งและตลอดเวลา
เราจะต้องรู้ว่า “น้ำนั้น ลึกแค่ไหน” ประเด็นก็คือ
เราจะเสี่ยงอะไรก็ตาม ตรวจสอบและวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนที่สุด
ดูว่าถ้าพลาดร้ายแรง เราจะยังอยู่รอดได้และไม่เสียหายมากเกินไป
ข้อสาม ซึ่งผมจะรวมกฎสามข้อเข้าด้วยกันก็คือ
“มีระบบความเชื่อของตนเอง” “มีความมั่นคงและยึดมั่นในสิ่งที่ทำ” และ
“มีศรัทธาต่อสิ่งนั้น” นี่คือกฎที่จะทำให้เราไม่วอกแวก
และความคิดและการกระทำของเราจะเป็นระบบที่ถูกต้องและสอดคล้องกันในระยะยาว
แต่สิ่งที่ผมอยากจะกล่าวเพิ่มเติมก็คือ
ระบบความเชื่อของเรานั้นจะต้องเป็นระบบที่ถูกต้องที่มีการพิสูจน์มาช้านาน
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีความเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นนั้น
ก็คือการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของธุรกิจ วิธีที่จะชนะในระยะยาวก็คือ
การถือหุ้นหรือบริษัทที่ดีเยี่ยมในราคาที่ยุติธรรมให้ยาวที่สุด
เราก็จะต้องเชื่อและทำแบบนั้น
อย่ากลับไปกลับมาโดยการขายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเกิดสถานการณ์บางอย่างที่เรา
อาจจะกลัวเกินเหตุหรือคิดว่าราคาหุ้นอาจจะสูงเกินไปแล้วชั่วคราว
บางคนอาจจะสงสัยว่า “ระบบที่ถูกต้อง” ที่ผมพูดถึงในข้อสามนั้น
มีเพียงระบบเดียวหรือ?
และใครจะเป็นคนบอกว่าระบบความคิดไหนเป็นระบบที่ดีและถูกต้องที่สุด
คำตอบของผมก็คือ คงไม่มีใครบอกได้ มีระบบมากมายที่มีคนคิดและเสนอขึ้นมา
เราเองจะต้องเป็นคนเลือกที่จะเชื่อ
บางคนอาจจะบอกว่าวิธีการลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนสูงที่สุดก็คือการซื้อหุ้นใน
ยามที่มันมีราคาถูกและขายเมื่อมันมีราคายุติธรรมหรือแพงแล้ว
การคิดถึงหุ้นเราไม่ควรคิดว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจเพราะเราไม่ได้มีอำนาจ
อะไรเลยในการควบคุมกิจการ
นี่ก็เป็นระบบความเชื่ออีกแบบหนึ่งซึ่งผมก็บอกไม่ได้ว่าดีกว่าแบบแรกหรือ
ไม่ บางทีมันอาจจะดีกว่าในบางตลาดหุ้นและแย่กว่าในบางแห่ง
ประเด็นของผมก็คือ ถ้าคุณเชื่อแบบไหน
คุณก็ควรจะทำแบบสม่ำเสมอและสอดคล้องกันทุกอย่าง- ด้วยความศรัทธา
อย่างเริ่มต้นซื้อหุ้นด้วยความคิดหนึ่งแต่ขายหุ้นด้วยความคิดอีกชุดหนึ่ง
ซึ่งอยู่ตรงกันข้าม
ข้อสี่ “อยู่ข้างเทพ อย่าอยู่ข้างมาร”
นี่ก็เป็นกฎที่น่าจะมีคำถามตามมาว่า ข้างไหนคือเทพและข้างไหนคือมาร?
คำตอบก็คือ เราก็ต้องเป็นคนที่คิดและเลือก ว่าที่จริง
คงไม่มีใครเลือกที่จะเป็นมารหรืออยู่ข้างมาร
เขาคิดว่าฝั่งที่เขาเลือกคือเทพ สำหรับผมแล้ว
ผมคิดว่านักลงทุนนั้นจะต้องเลือกข้าง “ผู้ชนะ” ซึ่งก็คือ ข้างเทพ
เพราะผู้ชนะนั้นจะเป็นคน “เขียนประวัติศาสตร์” และแน่นอน
เขาจะต้องเขียนว่าเขาเป็นฝ่ายเทพ ความหมายของผมก็คือ ในการลงทุน
เราควรเลือกบริษัทที่อยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงของการเติบโต
เป็นธุรกิจที่กำลังมี “กระแส” หรือมี “ลมพัดมาทางข้างหลัง”
เป็นอุตสาหกรรม “เทพ” นอกจากนั้น เราควรเลือกบริษัทที่กำลังเป็น
“ผู้ชนะ” เป็นบริษัท “เทพ” วิธีที่เราจะเลือกได้ถูกต้องนั้น
นอกจากการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ซึ่งบ่อยครั้งจะต้องมองไปถึง
“กระแสระดับโลก” ที่อาจจะมาก่อนแล้ว
เรายังต้องพยายามตัดอคติและความรู้สึกส่วนตัวที่มีออกให้มากที่สุด
เพราะนั่นมักทำให้เรามีความลำเอียงจนทำให้วิเคราะห์ผิดไปได้
ข้อห้า “คุณจะไม่มีวันเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้”
ว่าที่จริงผมคิดว่าคนเราอาจจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งเฉพาะในบางเรื่องเท่านั้น
เรื่องส่วนใหญ่นั้นเราไม่ค่อยจะเข้าใจหรอกแต่เราอาจจะคิดว่าเราเข้าใจ
กฎข้อนี้เพื่อที่จะเตือนใจเราให้รู้ว่ายังมีเรื่องที่เราไม่เข้าใจอีกมาก
และถ้าเราไม่เข้าใจแต่เราตัดสินใจลงทุน เราก็อาจจะพบกับความผิดหวังได้ง่าย
ๆ วิธีการของผมก็คือ ถ้าเรายังไม่ค่อยจะเข้าใจหุ้นตัวไหน
ก็อย่าไปลงทุนหรืออย่าลงทุนมาก ถ้าเราลงทุนก็จะต้องรู้ว่ามันคือการ
“เก็งกำไร” และโอกาสเสียก็มีไม่น้อย โดยส่วนตัวผมแล้ว
ผมจะพยายามทำความเข้าใจในเรื่องของโลกในวงกว้าง ทั้งเรื่องการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์ ปรัชญา และอื่น ๆ อีกร้อยแปด
ผมพยายามที่จะเข้าใจ “ภาพใหญ่” ของสิ่งเหล่านี้
ในขณะที่ถ้าเป็นเรื่องที่ผมสนใจเป็นพิเศษ เช่น การลงทุน
ผมก็จะพยายามศึกษาให้มากเพื่อที่จะได้ “รู้จริง” โชคดีที่ว่า
ในการลงทุนนั้น การมีความรู้ในเรื่องของโลกอย่างกว้าง
สามารถที่จะช่วยทำให้การลงทุนดีขึ้นมาก
ข้อหก “รักษาคุณธรรมและจริยธรรมให้สูงเข้าไว้”
นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับชีวิตเช่นเดียวกับการลงทุน
เป็นเรื่องธรรมชาติที่สิ่งมีชีวิตซึ่งรวมถึงคนจะต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด
บางครั้งก็เกิดการ “แย่งชิง” ทรัพยากรกัน การที่เราจะมีชีวิตที่ดีได้
เราต้องยึดถือคุณธรรมและจริยธรรมที่ดีตลอดเวลาเพราะนี่คือ “กติกา”
ที่คนส่วนใหญ่ยอมรับและยกย่อง
ถ้าเราทำผิดเราจะไม่ได้รับความเชื่อถือไปนานหรือตลอดไป
และนั่นจะทำให้ชีวิตในอนาคตของเราตกต่ำลงและยากที่จะแก้ไขได้
ในเรื่องของการลงทุนนั้น ก็เช่นเดียวกัน
อย่าใช้วิธีการที่ไม่มีคุณธรรมในการลงทุนหรือเล่นหุ้นแม้ว่ามันจะทำให้เรา
ได้กำไรเร็วและมาก
อะไรคือคุณธรรมในการลงทุนนี่ก็เป็นประเด็นอยู่เหมือนกัน แน่นอน
การทำผิดกฎหมายไม่ว่าจะถูกจับได้หรือไม่ก็ต้องถือว่าไม่มีคุณธรรมแน่นอน
แต่การกระทำอย่างอื่นที่ทำให้นักลงทุนคนอื่นเสียหายโดยที่เราได้ประโยชน์
ตัวอย่างเช่น เราแนะนำให้เขาซื้อหุ้นตัวหนึ่งแต่ในเวลาเดียวกันเราขาย
แล้วหลังจากนั้นราคาหุ้นก็ตกต่ำลงมามากเนื่องจากข้อมูลที่เรารู้อยู่ก่อน
แล้ว แบบนี้ก็อาจจะถือว่าเราไม่ได้มีคุณธรรมที่สูงพอ แม้จะยอมรับกันว่า
ในเรื่องของการลงทุน ทุกคนต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง
สุดท้าย
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนจนทำให้มีเงินมากพอที่จะใช้ชีวิตแบบ
เศรษฐี
หรือแม้แต่คนที่มุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็วจากการลงทุนก็
คือ “รู้ว่าความสุขที่แท้จริงมาจากไหน” เรื่องนี้ผมขอตอบเองว่า
เงินนั้นก่อให้เกิดความสุขได้ถึงระดับหนึ่งเท่านั้น
เงินที่มากขึ้นจากนั้นจะสร้างความสุขเพิ่มขึ้นได้น้อยลงและน้อยลงเรื่อย ๆ
ดังนั้น
การมุ่งที่จะหาความสุขจากเงินมากเกินไปรังแต่จะก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา
แทน เพราะความสุขที่แท้จริงนั้น ผมว่าอยู่ในใจเสียมากกว่า
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 5 มิถุนายน 2555
No comments:
Post a Comment