Friday, June 29, 2012

กลยุทธ์ยามหุ้นแพง

ในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาไม่ถูกแล้ว แต่ราคาหุ้นโดยทั่วไปก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็น "ฟองสบู่"
นั่นก็คือ  ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ที่สูงและมีค่า PE สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตประมาณ 30-40% อย่างที่เห็นในช่วงนี้ เราในฐานะของ Value Investor ควรจะทำอย่างไร? คำตอบของ VI แต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไป ลองมาดูกัน

มุมมองหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นแนว "VI พันธุ์แท้" หรือบางทีก็อาจจะเป็น "VI ใสซื่อ" ก็คือ "เราไม่สนใจตลาด ถ้าเราพบว่ามีหุ้นที่ยังมีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก  มี Margin of Safety หรือส่วนต่างของความปลอดภัยสูง เราจะซื้อ" บางคนอาจจะพูดต่อว่า เขายังพบหุ้นที่มีราคาถูกเป็นหุ้น VI อีกไม่น้อยแม้ในยามที่หุ้นในตลาดโดยทั่วไปมีราคาค่อนข้างแพง ดังนั้น ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ เขาสนใจเฉพาะหุ้นเป็นรายตัว

คอมเมนท์ของผม คือ แน่นอน ในยามที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาและค่า PE สูง เราจะยังมีหุ้นที่ "ถูก" หรือมีค่า PE ต่ำ นอกจากนั้นค่า  PB อาจจะต่ำด้วย รวมถึงอัตราผลตอบแทนปันผลก็อาจสูง ถ้าดูโดยตัวเลขต้องบอกว่า หุ้นที่มีราคาถูก แต่ถ้าวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง หุ้นตัวนั้นอาจไม่ใช่หุ้นที่น่าลงทุนก็ได้ เพราะอาจมีปัญหา หรือกำไรในอนาคตอาจถดถอยลง เพราะปัจจัยด้านคุณภาพ เช่น อาจอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังตกต่ำลง หรือเป็นหุ้นวัฏจักรที่กำลังเข้าสู่วัฏจักรขาลง ต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น ซึ่งทำให้หุ้นมีราคาถูกอย่างที่เห็น แต่ไม่ใช่หุ้น VALUE 

การที่เราบอกว่า เราสนใจเฉพาะตัวหุ้น ไม่สนใจภาวะตลาด จริงๆ ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องโดยหลักการ แต่ในยามที่ตลาดหุ้นบูม เราต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษว่า หุ้นที่เราเห็นว่ามีราคาถูกโดยดูจากตัวเลข เช่น ค่า PE อาจเป็น "กับดัก" ที่ทำให้เรา "ติด" ได้ เหนือสิ่งอื่นใด ต้องคิดว่า ถ้าหาง่ายอย่างนั้น คนก็คงเจอแล้วก็ซื้อ และทำให้ราคาขึ้นไปก่อนหน้านี้แล้ว คงไม่ปล่อยให้มี PE ต่ำมากอยู่อย่างนั้น โดยเฉพาะในยามที่มี  "VI" อยู่เต็มตลาดหุ้น

มุมมองอีกแนวหนึ่งก็คือ ยามที่หุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นมาก เราควรจะ Switch หรือเปลี่ยนตัวหุ้น จากหุ้นที่เราได้กำไรมาก หรือหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นไปมาก และราคาหุ้นเริ่มแพง แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นที่ยังเป็น "Laggard" หรือหุ้นที่ยังไม่ค่อยได้ขึ้นไปเท่าไร และราคาอาจยังถูกเมื่อเทียบกับหุ้นอื่นๆ ในตลาด แนวความคิดนี้ อาจดูเหมือนว่าไม่ใช่แนว VI เพราะอาจไม่ได้วิเคราะห์ว่า หุ้นนั้นมี Margin of Safety มากน้อยแค่ไหน แต่ไปดูจากการเปรียบเทียบว่า หุ้นตัวไหนราคาถูกกว่าอีกตัวหนึ่ง แทนที่จะดูว่าตัวมันเองคุ้มค่าหรือไม่กับพื้นฐานของมัน  

VI ที่มองในแนวนี้ อาจบอกว่า หุ้นตัวใหม่ที่เขาจะซื้อ ต้องเข้าข่ายว่าเป็นหุ้น "VI" ด้วย นั่นคือ เขาอาจกำลังบอกว่า เขา Switch จากหุ้น  VI ที่แพง  ไปสู่หุ้น  VI ที่ถูกกว่า มี Margin of Safety สูงกว่า

คำวิจารณ์ของผม คือ คนที่คิดแบบนั้น อาจจะมีความคิดว่า ราคาหุ้นที่เป็น VI แต่ละตัว เมื่อเวลาผ่านไปต้องวิ่งไปหา "มูลค่าที่แท้จริง" เช่น ราคาหุ้นปัจจุบันเท่ากับ 7 บาท มูลค่าที่แท้จริงที่คำนวณได้อาจเป็น 10 บาท หุ้นก็น่าจะวิ่งขึ้นไปอีกกว่า 30%ในอนาคต ทีนี้ถ้ามีหุ้น 2 ตัวที่ต่างก็เป็นหุ้น VI ในสายตาของเขา แต่หุ้นตัวที่หนึ่งที่เขาซื้อไว้แล้ว มีราคาวิ่งขึ้นไปเป็น 10 บาทอย่างรวดเร็ว เขาอาจจะคิดว่า "เต็มมูลค่า" แล้ว 

ในขณะที่หุ้น VI ตัวที่สอง ราคายังไม่ได้ไปไหน ซึ่งทำให้มีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไปได้ในอนาคต เขาจึงขายหุ้นตัวแรก และหันไปซื้อหุ้นตัวที่สอง โดยที่เขาสรุปว่า หุ้นตัวแรกไม่ได้เป็นหุ้น  VI แล้ว หรือเป็นหุ้น VI ที่จะมี Upside หรือโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นอีกน้อยลง ขณะที่หุ้นตัวที่สองยังเป็นหุ้น VI ที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นมากกว่า

ผมเองคิดว่าการ Switch หุ้นในยามที่ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้น และหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นตามดัชนีตลาด อาจไม่ใช่กลยุทธ์ที่ดีนัก เหตุผลคือ ในยามที่ตลาดหุ้นคึกคัก หุ้นที่จะ "ถูกละเลย" น่าจะมีน้อย การที่หุ้นตัวหนึ่งวิ่งได้ดี หรือมากกว่าหุ้นอีกตัวหนึ่ง อาจเป็นเพราะว่าหุ้นตัวแรกมีพื้นฐาน หรือคุณสมบัติดีกว่าหุ้นตัวที่สอง การวิเคราะห์เดิมของเราอาจผิดพลาด  

ที่สำคัญ มูลค่าหุ้นตัวแรก อาจมีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปในขณะที่หุ้นตัวที่สอง มูลค่ากิจการไม่ได้เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด การ Switch อาจมีโอกาส "ชนะ" ไม่มาก และอาจจะไม่คุ้มกับค่าคอมมิชชั่น และส่วนต่างราคาซื้อขายที่เราจะต้องเสีย เหนือสิ่งอื่นใดคือ อาจจะทำให้เราต้องเสียหุ้นที่ดี และได้หุ้นที่เลวกว่ามาแทนในทำนอง "ขายหมูแล้วไปซื้อควายมา" อย่างที่พูดกันในหมู่ VI

มุมมองสุดท้ายที่หลายคนอาจทำก็คือ การขายหุ้นเพื่อถือเงินสด และหวังจะกลับมาซื้อหุ้นคืน เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง นี่เป็นกลยุทธ์ที่คล้ายกับนักเก็งกำไรที่จะ "เล่นหุ้นเป็นรอบ" นั่นก็คือ ซื้อหุ้นเมื่อดัชนีปรับตัวลง และขายหุ้นเมื่อราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูง ปีหนึ่งอาจเล่นหุ้นไม่กี่ครั้ง 

สำหรับ VI เขาอาจคิดว่ารอบของเขา อาจจะใหญ่หรือยาวกว่า นั่นก็คือ ถ้าหุ้นขึ้นมาสูง จนหุ้นส่วนใหญ่แพงเกินไป และอาจเลยพื้นฐานไปแล้ว การหาหุ้นถูกยากมาก เขาก็ควรขายหุ้นทิ้งแล้วถือเงินสด เขาเชื่อว่าในที่สุด ราคาหุ้นน่าจะปรับตัวลงมา ซึ่งจะทำให้เขาซื้อหุ้นตัวเดิม หรือหุ้นตัวใหม่ในราคาที่ต่ำลง ซึ่งทำให้ผลตอบแทนของเขาดีขึ้น เหนือสิ่งอื่นใดคือ เขาคิดว่าการถือเงินสด ปลอดภัยกว่าหุ้นที่อาจจะปรับตัวลงครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้ความมั่งคั่งที่เขาทำได้มากและรวดเร็วต้องหายไป

ความเห็นของผมคือ การถือเงินสด แม้จะปลอดภัยในแง่ที่เม็ดเงินจะไม่ลดลง แต่ก็แทบไม่ให้ผลตอบแทนเลย ข้อดีที่เห็นชัดที่สุด คือ ถ้าเกิดวิกฤติหรือตลาดหุ้นตกลงมารุนแรง และทำให้หุ้น VI ที่เราสนใจมีราคาลดลงมาก เราจะได้ซื้อหุ้นถูก และทำให้ผลตอบแทนในอนาคตสูงขึ้น แต่เหตุการณ์นั้น จะมีโอกาสเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนเราก็ไม่รู้ หลายคนอาจจะบอกว่าเหตุการณ์ในยุโรป น่ากลัวมาก น่าจะมีโอกาสสูงที่ยุโรปจะประสบปัญหาทางเศรษฐกิจรุนแรง และนั่นน่าจะทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและตลาดหุ้นไทยตกลงมารุนแรงได้ 

ประเด็นนี้ผมเอง ไม่อยากที่จะให้ความเห็น แต่ประสบการณ์ก็คือ วิกฤติมักจะเกิดขึ้นตอนที่ไม่มีใครคาดคิด เหตุการณ์ในยุโรป เป็นสิ่งที่ทุกคนรับรู้และรับทราบมาโดยตลอด ตลาดหุ้นก็ "รับข่าว" และปรับตัวลงมามากแล้ว การที่ตลาดหุ้นจะเกิดวิกฤติและมีการปรับตัวลงมากๆ น่าจะน้อยลง การตัดสินใจโดยอิงอยู่กับสิ่งที่ยังไม่แน่นอน จึงเป็นเรื่องการเก็งกำไรที่มีโอกาสได้เสียเท่าๆ กัน

สุดท้ายสำหรับตัวผมเองว่า จะทำอย่างไรในสถานการณ์หุ้นแพง คำตอบคือ ผมแทบจะไม่ทำอะไร โดยเฉพาะในยามที่หุ้นยังไม่ได้เป็น "ฟองสบู่"   ประเด็นต่อมาคือ ผมทำอะไรกับเงินสด ที่อาจได้มาจากปันผล หรือจากแหล่งอื่น คำตอบคือ ผมอาจถือเป็นเงินสดไว้ หรือไม่ก็ลงทุนในหุ้นที่มั่นคงมากในแง่ผลประกอบการ ที่ยังให้ผลตอบแทนปันผลพอสมควร อาจจะ 4-5% เทียบกับเงินฝากที่ 1-2% ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ ผมมักจะเรียกว่า "หุ้นพันธบัตร" ซึ่งหลายตัวเป็นผู้ให้บริการสาธารณูปโภคที่มีรายได้และกำไรค่อนข้างแน่นอน และมีการเติบโตบ้างแต่ราคาไม่แพงเท่าไรนัก

 บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 22 พฤษภาคม 2555

No comments:

Post a Comment