Friday, June 29, 2012

หุ้นพันธบัตร

หุ้นที่ผมมักถือรวมอยู่ในพอร์ตแบบหนึ่ง โดยเฉพาะในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาไม่ถูกแล้วก็คือ หุ้นที่ผมเรียกว่า "หุ้นพันธบัตร"  นี่คือหุ้นที่มี คุณสมบัติคล้ายๆ กับพันธบัตรนั่นก็คือมันให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้าง "มั่นคง" และผลตอบแทนที่ได้ต่อปีอยู่ในระดับที่ "พอใช้ได้" วัดจากอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อ ซึ่งในภาวะปัจจุบันก็ไม่ควรต่ำกว่า 4-5% ต่อปี นอกจากนั้น เงินปันผลต้องไม่ลดลงในอนาคตและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อของระบบเศรษฐกิจ  

ส่วนผลตอบแทนที่เกิดจากราคาหุ้น หรือ Capital Gain ผมจะไม่นำมาคิดในช่วงที่ซื้อหุ้น เป็นไปได้ว่าราคาหุ้นอาจจะเพิ่มขึ้นทำให้ผลตอบแทนรวมสูงขึ้น ในทางตรงกันข้าม หุ้นอาจปรับตัวลงทำให้ผลตอบแทนรวมลดลง หรือแม้แต่ขาดทุนได้ ผมเชื่อว่าราคาหุ้นไม่น่าจะปรับตัวลงมาแรงนักเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นๆ เหตุผลก็เพราะเงินปันผลของบริษัทน่าจะยังดีเหมือนเดิม ซึ่งจะทำให้ Yield หรือผลตอบแทนเงินปันผลสูงขึ้นถ้าราคาหุ้นลดลง และนั่นทำให้นักลงทุนบางกลุ่มสนใจ ที่จะเข้ามาลงทุนซื้อหุ้น และด้วยเหตุผลเดียวกัน คนที่ถือหุ้นอยู่ก็จะไม่อยากขาย ดังนั้นราคาหุ้นอาจจะไม่ลงมามากนัก

ฟังอย่างผิวเผินบางคนอาจจะบอกว่านี่คือหุ้น  Defensive หรือหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ดี เวลาเราพูดถึงหุ้น Defensive เรามักนึกถึงหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรม ที่ยอดขายไม่ใคร่ถูกกระทบมากนักโดยภาวะเศรษฐกิจไม่ว่าจะทางดีหรือร้าย เช่น อุตสาหกรรมอาหารหรือกลุ่มสาธารณูปโภค เป็นต้น หุ้น Defensive ยังต้องประสบกับการแข่งขันที่เข้มข้น ต้องต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดเสรี เช่นเดียวกับที่ต้องควบคุมหรือประสบกับปัญหาด้านต้นทุนของสินค้าที่ผลิต ดังนั้น แม้ยอดขายโดยรวมของอุตสาหกรรมจะมั่นคงสม่ำเสมอ แต่ยอดขายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรของแต่ละบริษัท อาจผันผวนได้ไม่น้อย ขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัท แต่หุ้นพันธบัตรในความหมายของผม ต้องมีความสม่ำเสมอและมั่นคงมากกว่านั้น และการที่บริษัทจะมีผลประกอบการแบบนั้นได้ ควรต้องมีคุณสมบัติต่างๆ ดังต่อไปนี้

ข้อแรก คือ ควรอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ Defensive ซึ่งยอดขายโดยรวมไม่ผันผวนมากนักตามภาวะเศรษฐกิจ สินค้าหรือบริการเป็นสิ่ง "จำเป็น" ในชีวิตของผู้คน ถ้ายอดขายมีความผันผวน หรือมีความไวต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ หรือปัจจัยแวดล้อมมากๆ ป็นเรื่องยากที่กิจการจะมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอได้

ข้อสอง คือ ผลประกอบการของบริษัท ไม่ควรที่จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหรือปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะในปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากนัก เช่น ไม่ควรขึ้นอยู่กับความต้องการหรือ Demand ของสินค้า หรือไม่ควรขึ้นอยู่กับเรื่องคู่แข่ง หรือผู้ให้บริการรายใหม่ๆ ที่จะเข้ามา หรือถ้าจะพูดไป คือ บริษัทอาจจะไม่ได้อยู่ในตลาดของการแข่งขันเสรีเนื่องจากเหตุผลต่างๆ ซึ่งอาจจะรวมถึงเรื่องของกฎระเบียบ  สัมปทาน  สัญญาหรือข้อตกลงที่มีการลงนามและผูกพันในระยะยาว หรือแม้แต่เรื่องที่เป็นการผูกขาดตามธรรมชาติของธุรกิจ เป็นต้น นอกจากนั้น ผลประกอบการของบริษัทก็ไม่ควรต้องขึ้นอยู่กับต้นทุน สำคัญที่ไม่อยู่ในการควบคุมของกิจการด้วย  เพราะอาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทถูกกระทบได้มาก ซึ่งหมายถึงว่า ราคาสินค้าหรือบริการของบริษัทสามารถปรับตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปได้

ข้อสาม ผมคิดว่ามีความสำคัญมากที่สุดข้อหนึ่ง ที่จะบอกว่าเป็นหุ้นพันธบัตรหรือไม่ ก็คือ ความสำเร็จหรือผลประกอบการของบริษัทน่าจะขึ้นอยู่กับ Operation หรือการดำเนินงานบางอย่างเท่านั้น เช่น ถ้าบริษัทสามารถผลิตหรือให้บริการตามที่ตกลงหรือตามที่กำหนดเป็นภารกิจของ บริษัทได้แล้ว บริษัทก็จะสามารถทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจ และกิจกรรมหรืองานที่บริษัททำนั้นไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่ทำได้ยาก แต่เป็นการทำงานตามปกติของบริษัท โอกาสที่บริษัทจะทำไม่ได้หรือเกิดการผิดพลาดมีน้อย และนี่ทำให้บริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลได้ในอัตราที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ

ข้อสุดท้าย ที่ผมจะต้องกล่าวถึงคือ ขณะที่หุ้นพันธบัตร สามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอมั่นคงมาก แต่มีข้อเสียเช่นเดียวกันในแง่ที่ว่า กำไรที่ดีผิดปกติ มักจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เหตุผลก็เพราะว่าบริษัทที่มีคุณสมบัติแบบนี้มักจะ "ถูกล็อก" ไม่ให้ทำกำไรเกินควรจากรัฐบาล หรือหน่วยงานควบคุม เพราะอาจมีอำนาจในการผูกขาด หรือเป็นเรื่องของสัญญาที่ผู้ให้สัญญาต้องเป็นผู้จ่ายเงิน ดังนั้น หุ้นพันธบัตรจึงมีลักษณะคล้ายๆ พันธบัตรนั่นคือ  ความเสี่ยงต่ำในแง่ของผลประกอบการ  แต่ผลตอบแทนก็มักจะไม่สูงโดยเฉพาะถ้ามองจากมุมของตัวกิจการเอง

เงื่อนไขในการลงทุนในหุ้นพันธบัตรของผมเองก็คือ ผลตอบแทนที่ผมคาดจะได้จากหุ้นพันธบัตร ต้องดีกว่าการถือพันธบัตร นั่นก็คือ ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีของหุ้นจะต้องดีกว่า หรืออย่างน้อยเท่ากับดอกเบี้ยที่ผมจะได้จากการถือพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5% ต่อปี และบริษัทควรที่จะเติบโตของยอดขายและกำไรอย่างน้อยเท่ากับอัตราเงินเฟ้อที่ 3% ต่อปี โดยรวมแล้ว อย่างต่ำผมควรได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 8% ต่อปี โดยวิธีหาหุ้นที่จะเข้าข่ายก็ทำได้อย่างง่ายๆ โดยดูที่กำไรปีล่าสุดว่าเป็นเท่าไรและปันผลเป็นเท่าไร ต่อมาดูว่ากำไรและปันผล บริษัทน่าจะรักษาระดับอยู่ได้รวมถึงสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 3-4% ขึ้นไป  ตัวอย่างเช่น บริษัทมีกำไรปีละ 5 บาทต่อหุ้น กรณีแบบนี้ ผมจะยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อหุ้นที่ราคาไม่เกิน 100 บาทซึ่งจะทำให้ผมได้เงินปันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี ซึ่งดีกว่าการถือพันธบัตร เพราะการถือหุ้น ผมน่าจะได้กำไรจากราคาหุ้นด้วย เพราะหุ้นตัวนั้น จะเติบโตจากกำไรและปันผลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต

การถือหุ้นพันธบัตร ผมจะไม่ถือจำนวนมากในพอร์ต ผมจะถือไว้เพื่อ "ถ่วง" ไม่ให้พอร์ตหวือหวาเกินไป เช่นเดียวกัน ในยามที่หาหุ้นที่ดี และราคาถูกยากแต่ก็ไม่ใช่เวลาขายหุ้นอย่างในช่วงนี้ ผมก็ไม่อยากเก็บเป็นเงินสด หรือลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนน้อย ดังนั้น หุ้นพันธบัตรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด ทุกครั้งที่จะลงทุนในหุ้นพันธบัตร ผมก็หวังจะ "โชคดี" ในแง่ที่บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในช่วงเวลาไม่นาน ที่จะทำให้กำไรและปันผลสูงขึ้นมากกว่าปกติมาก ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าที่คาด แต่ไม่ว่าในกรณีใด ผมต้องมั่นใจพอสมควรว่า ในเวลา 2-3 ปีขึ้นไป ผลตอบแทนที่ผมจะได้จากหุ้นพันธบัตรจะต้องไม่แพ้พันธบัตรแน่นอน

 บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 29 พฤษภาคม 2555

No comments:

Post a Comment