หุ้นที่ผมมักถือรวมอยู่ในพอร์ตแบบหนึ่ง โดยเฉพาะในยามที่หุ้นส่วนใหญ่ในตลาดมีราคาไม่ถูกแล้วก็คือ หุ้นที่ผมเรียกว่า "หุ้นพันธบัตร" นี่คือหุ้นที่มี
คุณสมบัติคล้ายๆ กับพันธบัตรนั่นก็คือมันให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้าง "มั่นคง"
และผลตอบแทนที่ได้ต่อปีอยู่ในระดับที่ "พอใช้ได้"
วัดจากอัตราเงินปันผลเมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อ
ซึ่งในภาวะปัจจุบันก็ไม่ควรต่ำกว่า 4-5% ต่อปี นอกจากนั้น
เงินปันผลต้องไม่ลดลงในอนาคตและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
ในอัตราที่ไม่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อของระบบเศรษฐกิจ
ส่วนผลตอบแทนที่เกิดจากราคาหุ้น หรือ Capital Gain
ผมจะไม่นำมาคิดในช่วงที่ซื้อหุ้น
เป็นไปได้ว่าราคาหุ้นอาจจะเพิ่มขึ้นทำให้ผลตอบแทนรวมสูงขึ้น
ในทางตรงกันข้าม หุ้นอาจปรับตัวลงทำให้ผลตอบแทนรวมลดลง หรือแม้แต่ขาดทุนได้
ผมเชื่อว่าราคาหุ้นไม่น่าจะปรับตัวลงมาแรงนักเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มอื่นๆ
เหตุผลก็เพราะเงินปันผลของบริษัทน่าจะยังดีเหมือนเดิม ซึ่งจะทำให้ Yield
หรือผลตอบแทนเงินปันผลสูงขึ้นถ้าราคาหุ้นลดลง
และนั่นทำให้นักลงทุนบางกลุ่มสนใจ ที่จะเข้ามาลงทุนซื้อหุ้น
และด้วยเหตุผลเดียวกัน คนที่ถือหุ้นอยู่ก็จะไม่อยากขาย
ดังนั้นราคาหุ้นอาจจะไม่ลงมามากนัก
ฟังอย่างผิวเผินบางคนอาจจะบอกว่านี่คือหุ้น Defensive
หรือหุ้นที่ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ดี เวลาเราพูดถึงหุ้น Defensive
เรามักนึกถึงหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรม
ที่ยอดขายไม่ใคร่ถูกกระทบมากนักโดยภาวะเศรษฐกิจไม่ว่าจะทางดีหรือร้าย เช่น
อุตสาหกรรมอาหารหรือกลุ่มสาธารณูปโภค เป็นต้น หุ้น Defensive
ยังต้องประสบกับการแข่งขันที่เข้มข้น ต้องต่อสู้กับคู่แข่งในตลาดเสรี
เช่นเดียวกับที่ต้องควบคุมหรือประสบกับปัญหาด้านต้นทุนของสินค้าที่ผลิต
ดังนั้น แม้ยอดขายโดยรวมของอุตสาหกรรมจะมั่นคงสม่ำเสมอ
แต่ยอดขายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกำไรของแต่ละบริษัท อาจผันผวนได้ไม่น้อย
ขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัท แต่หุ้นพันธบัตรในความหมายของผม
ต้องมีความสม่ำเสมอและมั่นคงมากกว่านั้น
และการที่บริษัทจะมีผลประกอบการแบบนั้นได้ ควรต้องมีคุณสมบัติต่างๆ
ดังต่อไปนี้
ข้อแรก คือ ควรอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ Defensive
ซึ่งยอดขายโดยรวมไม่ผันผวนมากนักตามภาวะเศรษฐกิจ สินค้าหรือบริการเป็นสิ่ง
"จำเป็น" ในชีวิตของผู้คน ถ้ายอดขายมีความผันผวน
หรือมีความไวต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ หรือปัจจัยแวดล้อมมากๆ
ป็นเรื่องยากที่กิจการจะมีผลการดำเนินงานที่สม่ำเสมอได้
ข้อสอง คือ ผลประกอบการของบริษัท
ไม่ควรที่จะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหรือปัจจัยต่างๆ
โดยเฉพาะในปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากนัก เช่น
ไม่ควรขึ้นอยู่กับความต้องการหรือ Demand ของสินค้า
หรือไม่ควรขึ้นอยู่กับเรื่องคู่แข่ง หรือผู้ให้บริการรายใหม่ๆ ที่จะเข้ามา
หรือถ้าจะพูดไป คือ
บริษัทอาจจะไม่ได้อยู่ในตลาดของการแข่งขันเสรีเนื่องจากเหตุผลต่างๆ
ซึ่งอาจจะรวมถึงเรื่องของกฎระเบียบ สัมปทาน
สัญญาหรือข้อตกลงที่มีการลงนามและผูกพันในระยะยาว
หรือแม้แต่เรื่องที่เป็นการผูกขาดตามธรรมชาติของธุรกิจ เป็นต้น นอกจากนั้น
ผลประกอบการของบริษัทก็ไม่ควรต้องขึ้นอยู่กับต้นทุน
สำคัญที่ไม่อยู่ในการควบคุมของกิจการด้วย
เพราะอาจทำให้ผลประกอบการของบริษัทถูกกระทบได้มาก ซึ่งหมายถึงว่า
ราคาสินค้าหรือบริการของบริษัทสามารถปรับตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปได้
ข้อสาม ผมคิดว่ามีความสำคัญมากที่สุดข้อหนึ่ง
ที่จะบอกว่าเป็นหุ้นพันธบัตรหรือไม่ ก็คือ
ความสำเร็จหรือผลประกอบการของบริษัทน่าจะขึ้นอยู่กับ Operation
หรือการดำเนินงานบางอย่างเท่านั้น เช่น
ถ้าบริษัทสามารถผลิตหรือให้บริการตามที่ตกลงหรือตามที่กำหนดเป็นภารกิจของ
บริษัทได้แล้ว บริษัทก็จะสามารถทำกำไรได้ในระดับที่น่าพอใจ
และกิจกรรมหรืองานที่บริษัททำนั้นไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ที่ทำได้ยาก
แต่เป็นการทำงานตามปกติของบริษัท
โอกาสที่บริษัทจะทำไม่ได้หรือเกิดการผิดพลาดมีน้อย
และนี่ทำให้บริษัทมีกำไรและจ่ายปันผลได้ในอัตราที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ
ข้อสุดท้าย ที่ผมจะต้องกล่าวถึงคือ ขณะที่หุ้นพันธบัตร
สามารถให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอมั่นคงมาก
แต่มีข้อเสียเช่นเดียวกันในแง่ที่ว่า กำไรที่ดีผิดปกติ
มักจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
เหตุผลก็เพราะว่าบริษัทที่มีคุณสมบัติแบบนี้มักจะ "ถูกล็อก"
ไม่ให้ทำกำไรเกินควรจากรัฐบาล หรือหน่วยงานควบคุม
เพราะอาจมีอำนาจในการผูกขาด
หรือเป็นเรื่องของสัญญาที่ผู้ให้สัญญาต้องเป็นผู้จ่ายเงิน ดังนั้น
หุ้นพันธบัตรจึงมีลักษณะคล้ายๆ พันธบัตรนั่นคือ
ความเสี่ยงต่ำในแง่ของผลประกอบการ
แต่ผลตอบแทนก็มักจะไม่สูงโดยเฉพาะถ้ามองจากมุมของตัวกิจการเอง
เงื่อนไขในการลงทุนในหุ้นพันธบัตรของผมเองก็คือ
ผลตอบแทนที่ผมคาดจะได้จากหุ้นพันธบัตร ต้องดีกว่าการถือพันธบัตร นั่นก็คือ
ผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีของหุ้นจะต้องดีกว่า
หรืออย่างน้อยเท่ากับดอกเบี้ยที่ผมจะได้จากการถือพันธบัตรรัฐบาล
ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 5% ต่อปี
และบริษัทควรที่จะเติบโตของยอดขายและกำไรอย่างน้อยเท่ากับอัตราเงินเฟ้อที่
3% ต่อปี โดยรวมแล้ว อย่างต่ำผมควรได้ผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 8% ต่อปี
โดยวิธีหาหุ้นที่จะเข้าข่ายก็ทำได้อย่างง่ายๆ
โดยดูที่กำไรปีล่าสุดว่าเป็นเท่าไรและปันผลเป็นเท่าไร
ต่อมาดูว่ากำไรและปันผล
บริษัทน่าจะรักษาระดับอยู่ได้รวมถึงสามารถเติบโตได้อย่างน้อย 3-4% ขึ้นไป
ตัวอย่างเช่น บริษัทมีกำไรปีละ 5 บาทต่อหุ้น กรณีแบบนี้
ผมจะยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อหุ้นที่ราคาไม่เกิน 100
บาทซึ่งจะทำให้ผมได้เงินปันผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี
ซึ่งดีกว่าการถือพันธบัตร เพราะการถือหุ้น ผมน่าจะได้กำไรจากราคาหุ้นด้วย
เพราะหุ้นตัวนั้น จะเติบโตจากกำไรและปันผลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต
การถือหุ้นพันธบัตร ผมจะไม่ถือจำนวนมากในพอร์ต ผมจะถือไว้เพื่อ "ถ่วง"
ไม่ให้พอร์ตหวือหวาเกินไป เช่นเดียวกัน ในยามที่หาหุ้นที่ดี
และราคาถูกยากแต่ก็ไม่ใช่เวลาขายหุ้นอย่างในช่วงนี้
ผมก็ไม่อยากเก็บเป็นเงินสด หรือลงทุนในพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนน้อย ดังนั้น
หุ้นพันธบัตรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เหนือสิ่งอื่นใด
ทุกครั้งที่จะลงทุนในหุ้นพันธบัตร ผมก็หวังจะ "โชคดี"
ในแง่ที่บริษัทมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในช่วงเวลาไม่นาน
ที่จะทำให้กำไรและปันผลสูงขึ้นมากกว่าปกติมาก
ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าที่คาด แต่ไม่ว่าในกรณีใด
ผมต้องมั่นใจพอสมควรว่า ในเวลา 2-3 ปีขึ้นไป
ผลตอบแทนที่ผมจะได้จากหุ้นพันธบัตรจะต้องไม่แพ้พันธบัตรแน่นอน
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อ 29 พฤษภาคม 2555
No comments:
Post a Comment