คนที่มีความสามารถพิเศษ มี "พรสวรรค์" และประสบความสำเร็จในการงานสูง มักมีประวัติตอนเด็กจนถึงประมาณอายุ 20 ปีหรือตอนจบปริญญาตรี ที่บ่งบอกได้ว่า เขาจะมีโอกาสประสบความสำเร็จในงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับความชอบ คุณสมบัติทางร่างกายและสมอง และทักษะของเขา เช่น ไทเกอร์ วู้ด นักกอล์ฟมือหนึ่งของโลก เขาจับไม้กอล์ฟและชอบตีกอล์ฟตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ถือไม้แทบไม่ไหว แน่นอนว่าพ่อของเขา ตั้งใจฝึกเขาตั้งแต่ยังเล็กมากและนั่นอาจทำให้เขาชอบ แต่ร่างกายและสมองของเขา ก็คงต้องมีส่วนอยู่ไม่น้อยที่ทำให้เขาตีได้ดี หลายๆ อย่างคงประกอบกันทำให้ ไทเกอร์ วู้ด กลายเป็นยอดนักกอล์ฟในตำนานคนหนึ่ง
สตีป จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งและสร้างผลิตภัณฑ์แอปเปิลคอมพิวเตอร์ ถือว่าเป็นตำนานของนักประดิษฐ์มือต้นๆ ในวัยที่ยังเป็นเด็กวัยรุ่น เขาน่าจะเป็นนักคิดและมีจินตนาการสูง ผมไม่รู้จักประวัติของเขามากนัก แต่ทราบว่าเขาเคยเดินทางไปแสวงหาความหมายของชีวิตในเอเชียและหันมานับถือศาสนาพุทธ เขาเคยเรียนการออกแบบตัวอักษรแบบต่างๆ ในมหาวิทยาลัย เขาหมกมุ่นเล่นและคลุกคลีกับคอมพิวเตอร์ ช่วงที่อุปกรณ์ชนิดนี้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นบนโลก กรณีนี้ "สถานการณ์" และ "โอกาสที่ได้สัมผัส" มีส่วนสำคัญที่ทำให้จ็อบส์ กลายเป็นอัจฉริยะทางด้าน IT และกลายเป็นตำนานนักประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ที่คนทั้งโลกต่างต้องการใช้อย่าง "แอปเปิล"
เรื่องการลงทุนนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเหนือไปกว่า วอร์เร็น บัฟเฟตต์ อัจฉริยภาพของเขา ไม่ได้เกิดเมื่อเขาเรียนจบ ทำงาน และเริ่มลงทุน ดูประวัติของบัฟเฟตต์ตั้งแต่เด็กจนถึงเรียนจบปริญญาตรีและโท พบว่า "แวว" ของความเป็น "เซียน" ของบัฟเฟตต์ เริ่มตั้งแต่เขายังเป็นเด็กชั้นอนุบาล และพัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด
ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ บัฟเฟตต์เริ่มรู้จักเร่ขายโค้ก โดยซื้อโค้กมาเป็นแพ็คๆ ละ 6 ขวดในราคา 25 เซ็นต์ แต่ขายในราคาขวดละ 5 เซ็นต์ ซึ่งทำให้เขาได้เงิน 30 เซ็นต์ ได้กำไร 5 เซ็นต์ หรือกำไร 16% ของยอดขาย ความสนใจที่จะ "หาเงิน" วนเวียนอยู่กับเขาตลอดเวลา เพราะแค่อายุ 11 ขวบ ก็เริ่มซื้อหุ้นตัวแรก คือหุ้นบุริมสิทธิของบริษัท Cities Service โดยที่เขาซื้อร่วมกับพี่สาว 6 หุ้น ในราคาหุ้นละ 38 ดอลลาร์ พอซื้อแล้วราคาก็ตกเหลือ 27 ดอลลาร์ ทำให้พี่สาวเขากังวลและถามเขาทุกวันว่า จะเป็นอย่างไร พอหุ้น Cities Service ปรับตัวขึ้นเป็น 40 ดอลลาร์ เขาขายไป และแทบจะทันทีหลังจากนั้น หุ้นปรับตัวขึ้นไปจนถึง 200 ดอลลาร์ สอนบทเรียนให้บัฟเฟตต์รู้ว่า ไม่ควรรีบขายหุ้นเพราะกลัวว่าหุ้นจะตก
เหตุผลที่บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นตั้งแต่เด็ก ไม่ได้กล่าวถึง แต่ผมเชื่อว่า เป็นเพราะพ่อของบัฟเฟตต์ เป็นเจ้าของและทำธุรกิจเป็นโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น บัฟเฟตต์คงคุ้นเคยกับหุ้นตั้งแต่เด็ก เขาคงรู้ว่าหุ้นนั้นมีราคาขึ้นลง และเป็นหนทาง หรือเครื่องมือทำเงินให้เขาได้ เขาจึงเข้าไปลองดู ความต้องการที่จะหาเงินของบัฟเฟตต์ หรือแรงขับที่จะสร้างความร่ำรวยของบัฟเฟตต์เป็นที่ประจักษ์ เมื่อเขาอายุ 13 ขวบ ก็ประกาศว่า จะเป็นเศรษฐีเงินล้านเมื่ออายุ 30 ปี และถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเขาจะไป "กระโดดตึกที่สูงที่สุดในเมืองโอมาฮา"
บัฟเฟตต์เริ่มทำงานเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ตั้งแต่อายุ 13 ขวบ เขาขยายสมาชิกและเส้นทางส่งหนังสือพิมพ์ไปจนมีสมาชิกถึง 500 รายต่อวัน พออายุ 15 ขวบ ก็ทำเงินได้ถึงสัปดาห์ละ 175 ดอลลาร์ เท่ากับเงินเดือนของผู้ใหญ่อายุ 25 ปี
การลงทุนเพื่อหาเงิน หรือทำกำไรของบัฟเฟตต์ ดูเหมือนจะไม่จำกัดว่าเป็นอะไร เมื่อเขาอายุ 14 ขวบ และคงมีเงินเก็บอยู่พอสมควร เขซื้อฟาร์มขนาด 40 เอเคอร์ หรือ 100 ไร่ ในราคา 1,200 ดอลลาร์ เพื่อเก็งกำไร พออายุ 17 ปี บัฟเฟตต์กำลังเรียนปีสุดท้ายของชั้นมัธยม เขาเริ่ม "ทำธุรกิจ" นั่นคือ เขาซื้อเครื่องเล่นพินบอลเก่า ในราคาเครื่องละ 25 ดอลลาร์ ไปวางไว้ที่ร้านตัดผม เพื่อให้ลูกค้าหยอดเหรียญเล่น ภายในเวลาไม่กี่เดือน เขามีเครื่องเล่นวางถึง 3 จุด ซึ่งเขาขายธุรกิจนี้ให้กับนายทหารผ่านศึกคนหนึ่งในปีเดียวกันที่ราคา 1,200 ดอลลาร์ ในเวลานั้น บัฟเฟตต์มีเงินไม่ต่ำกว่า 5,000 ดอลลาร์ โดยเฉพาะจากการทำงานส่งหนังสือพิมพ์ ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสุขกับการหาเงินมาก จนไม่อยากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย แต่พ่อเขากดดันให้เขาเรียน และบัฟเฟตต์ ก็ได้รับการตอบรับให้เรียนที่วาร์ตัน ซึ่งเป็นคณะบัญชีและการเงินของมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียอันโด่งดัง
บัฟเฟตต์ เป็นเด็กที่มีความสามารถ และเชี่ยวชาญตัวเลขและคณิตศาสตร์ และการที่สามารถเข้าเรียนที่วาร์ตันได้ แสดงว่าเขา "หัวดี" ทีเดียว เพียงแต่ไม่ชอบเรียน เขาบ่นว่าเขา "รู้ดีกว่าอาจารย์" และนั่นอาจเป็นสาเหตุ ทำให้เขาย้ายมหาวิทยาลัยกลับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเนบราสกาที่บ้านเกิดในปี 3 และเรียนจบใน 3 ปีครึ่ง เวลานั้นเขาอายุเพียง 20 ปี และมีเงินเก็บถึงเกือบหนึ่งหมื่นดอลลาร์ ซึ่งถือว่ามากทีเดียว
จุดเปลี่ยนชีวิตจริงๆ ของบัฟเฟตต์ อาจอยู่ที่การเรียนปริญญาโท ซึ่งเขาสมัครคณะบริหารธุรกิจฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยระดับต้นๆ ของโลก แต่ได้รับการปฏิเสธ เขาจึงสมัครและได้รับการตอบรับ ให้เข้าเรียนที่โคลัมเบีย มหาวิทยาลัยที่โดดเด่นพอๆ กันเมื่อเขารู้ว่า เบน เกรแฮม อาจารย์และนักลงทุนที่มีชื่อเสียงด้านวิเคราะห์หลักทรัพย์สอนอยู่ที่นั่น และนี่ก็เป็นสัญญาณอีกอย่างหนึ่งว่า บัฟเฟตต์ คงเรียนดีมาก จึงเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำแบบนี้ได้
เมื่อเรียนจบ บัฟเฟตต์เสนอตัวทำงานให้กับเบน เกรแฮม โดยไม่รับเงินเดือน เพื่อที่จะได้เรียนรู้กับอาจารย์ในทางปฏิบัติ แม้บัฟเฟตต์จะเป็นนักเรียนเกรด A+ คนเดียวของเกรแฮม แต่เขากลับไม่รับบัฟเฟตต์ เพราะเขาต้องการให้คนยิวซึ่งด้อยโอกาสได้งานนั้น ทำให้บัฟเฟตต์เดินทางกลับบ้านไปทำงานในบริษัทโบรกเกอร์ของพ่อ สองปีต่อมา เบน เกรแฮม จึงเสนองานให้ บัฟเฟตต์ ซึ่งเขาตอบรับทันที และได้ทำงานเป็นเวลาสองปีก่อนที่เกรแฮมจะเกษียณปิดบริษัท บัฟเฟตต์ ซึ่งอายุ 26 ปี มีเงินถึง 140,000 ดอลลาร์ จึงกลับโอมาฮาและตั้งกองทุนบริหารหุ้นให้กับญาติและคนรู้จัก และเริ่มตำนานการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบัน
ประเด็นของเรื่องทั้งหมดที่ผมต้องการนำเสนอคือ "เส้นทางชีวิต" ของคนโดยทั่วไป สาระสำคัญ คือ เป็นเส้นที่มีความต่อเนื่องไม่ขาดตอน คล้ายๆ กับระบบอนาล็อก ที่ไม่ใช่การเปลี่ยนแบบ 0 หรือ 1 แต่ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ ชีวิตของคน เริ่มต้นตั้งแต่เกิดและค่อยๆ เติบโตขึ้นจนเป็นผู้ใหญ่ ความสามารถต่างๆ มีมาตั้งแต่เกิด ความสนใจความชอบค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโต
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ประกอบเข้าด้วยกัน ทำให้คนๆ หนึ่ง ค่อยๆ พัฒนาไปในทิศทางที่ชัดเจนที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เด็ก น้อยคนที่จะมีชีวิตที่หักเหไปจากสาระสำคัญเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วคนเราถ้าจะหักเหในรายละเอียด เช่น สาระสำคัญคือ คนๆ หนึ่ง เส้นทางคือ ความร่ำรวย แต่รายละเอียด อาจเป็นว่าคนๆ นั้น ควรจะรวยจากการทำงานด้วยแรงงาน แต่แล้วชีวิต "ผกผัน" กลายเป็นรวยจากการลงทุน
ด้วยตรรกะแบบนี้ ผมจึงสรุปว่า คนแทบทุกคนมี "แวว" ตั้งแต่เด็กแล้วว่า เขาจะเป็นอย่างไรเมื่อเขาโตขึ้น เป็นสิ่งที่ยากมากที่คนจะ "เปลี่ยนไป" เมื่อเป็นผู้ใหญ่ เซียนมักจะต้องมีพื้นฐานเป็นเซียนเสมอ
บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2556
No comments:
Post a Comment