Friday, November 8, 2013

เทคโนทำลายล้าง

กิจการบางแห่งที่เคยแข็งแกร่งมาก จนดูเหมือนว่า "ไม่มีวันแพ้" และไม่มีใครเคยคิดจะถดถอยได้ในเร็ววันนั้น

ขณะนี้ดูเหมือนว่าชะตากรรมจะเปลี่ยนไป ความรุ่งเรืองในอดีตตกต่ำลงรวดเร็ว หลายๆ บริษัทอาจต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเจริญเติบโตต่อเนื่องอย่างที่เคยเป็น "ความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน" หรือ DCA ที่บริษัทเคยมีเหนือคู่แข่งในอุตสาหกรรมนั้น บริษัทก็ยังมีอยู่ แต่ "คู่แข่งใหม่" ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้น หรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปรวดเร็วในปัจจุบัน ทำให้ DCA ของบริษัทหมดความหมายลง "เกมการแข่งขัน" หรือ "การต่อสู้" ที่เปลี่ยนไปรวดเร็วนี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการเกิดขึ้นใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับข้อมูลและการสื่อสารที่กำลัง "ปฏิวัติโลก" อย่างที่เราอาจ "ไม่รู้ตัว"

ผมเริ่มตระหนักถึงเรื่องนี้ เมื่อได้ดู "เทป" เดี่ยว 10 ของ โน้ต อุดม แต้พานิช ที่พูดถึงว่าเรา-คนที่มีอายุมาก-จะสอนลูกหลานอย่างไร ในเมื่อสิ่งต่างๆ ที่เรารู้ กลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย สิ่งต่างๆ ที่เด็กรุ่นใหม่ที่เกิดในยุคดิจิทัล 1000% ต้องเรียนรู้ทั้งหมดอยู่ใน "กูเกิล"

ลองนึกถึงร้านขายหนังสือที่ใหญ่และเข้มแข็งที่สุด อย่างร้านบาร์นแอนด์โนเบิล ที่เราอาจจะเคยคิดว่า น่าจะเป็นธุรกิจที่ดี เพราะโลกยุคใหม่คนต้องค้นคว้าหาความรู้มากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพแข่งขัน การที่บริษัทมีร้านค้าเครือข่ายมากมาย ย่อมได้เปรียบเรื่องต้นทุน ทำเลที่เหมาะสมกว่าคู่แข่งประกอบกับชื่อเสียง และผลการดำเนินงานที่มีมาช้านาน

ใครจะคิดว่า จะตกต่ำลงได้รวดเร็ว และพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งรายใหม่ ที่เพิ่งเข้าสู่ธุรกิจมาไม่กี่ปี แต่แล้วอเมซอน ซึ่งขายหนังสือผ่านอินเทอร์เน็ต และขายหนังสือที่เป็น E-BOOK ซึ่งเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ก็เข้ายึดกุมธุรกิจหนังสือได้รวดเร็วในสหรัฐอเมริกาและอาจลามไปในประเทศอื่น

ในเมืองไทย แม้การขายหนังสือผ่านทางอินเทอร์เน็ต และหนังสือ E-BOOK ยังใช้เวลาอีกหลายๆ ปี ที่จะเข้ามาแทนที่หนังสือเล่ม แต่ผลกระทบจากการที่คนรุ่นใหม่ เริ่มใช้เวลาอ่านข้อมูลอื่นในอินเทอร์เน็ตมากขึ้น แทนที่จะอ่านหนังสือเล่ม ก็ทำให้ธุรกิจหนังสือดูเหมือนโตช้าลงมาก หรืออาจไม่โตเลย นี่ทำให้ธุรกิจขายหนังสือเมื่อเร็วๆ นี้ ยังเป็นธุรกิจโตเร็วและมีบริษัทเข้มแข็งเป็น "ผู้ชนะ" กลายเป็นบริษัทที่อาจต้องปรับตัวมาก เพื่อที่จะรักษาผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต นี่เป็นผลจาก "การทำลายล้างของเทคโนโลยี" เรื่องแรก

ธุรกิจที่ผลิต หรือขายสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี น่าจะเป็นผู้ที่รับผลจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีรุนแรงที่สุด เราเห็นความรุ่งเรือง และการดับสลายของสินค้าต่างๆ เร็วมากจนไม่น่าเชื่อ เช่นเดียวกับบริษัทที่เป็นผู้ผลิตคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ไล่ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือโมโตโรล่า ถึงโนเกีย และถึง"สมาร์ทโฟน" ของแบล็กเบอร์รี่ จนถึงแอ๊ปเปิ้ล และซัมซุง เครื่องเล่นดนตรีติดตัววอล์คแมนของโซนี่ ที่ล้าสมัยเพราะเครื่อง ไอพอด ของแอ๊ปเปิ้ล ที่ก็ล้าสมัยไปเช่นเดียวกัน

แต่ที่หนักสุดน่าจะเป็นการตกต่ำของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เริ่มจากตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ค มาจนถึงแทบเล็ตที่ต้องพึ่งพิงระบบของโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรืออินเทอร์เน็ตไร้สายเป็นหลัก ในด้านเว็บไซต์ค้นหา ในอดีตเรามียาฮู ซึ่งถูกทำลายโดยกูเกิล ดูเหมือนว่ากำลังจะ "สยายปีก" ครอบงำธุรกิจอย่างยากที่ใครจะท้าทายได้ง่าย เรื่องเทคโนโลยี ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ในเมืองไทย กิจการที่อาจเป็น "เหยื่อ" รายแรกๆ ของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีกลุ่มนี้ คือผู้ขายคอมพิวเตอร์ ที่ต้องปรับตัวมากที่จะรักษาผลประกอบการของตนเองไว้ให้ได้

ธุรกิจบันเทิงและทีวีเป็นธุรกิจอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ถูกกระทบมาระดับหนึ่งแล้ว และน่าจะกำลังถูกกระทบอย่างแรงเร็วๆ นี้ ก่อนหน้านี้ธุรกิจขายเทปล่มสลายไปเช่นเดียวกับแผ่นซีดี ที่มียอดขายลดลงเรื่อยๆ เพราะการเกิดขึ้นของการโหลดเพลงผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอันทรงประสิทธิภาพ การเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัลและทีวีผ่านระบบสาย และไร้สายต่างๆ ทั้งที่มีอยู่แล้วและอาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ทำให้ธุรกิจทีวีที่ใช้คลื่นแบบอนาล็อกอยู่ในสภาพที่ไม่แน่นอนและมีอันตรายที่จะ "ถูกทำลาย" โดยเทคโนโลยีใหม่ที่มีอานุภาพในการทำลายล้างสูง

อุตสาหกรรมบางอย่างเช่นพลังงาน ในอดีตไม่ค่อยจะนึกว่า อาจจะถูกกระทบโดยเทคโนโลยีใหม่ได้ ถ้ามีผลบ้างก็เป็นผลกระทบด้านบวกที่ว่าเทคโนโลยีใหม่ ทำให้การขุดค้นหาพลังงานมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และช่วยลดต้นทุนของกิจการได้ การเกิดขึ้นของเทคโนโลยีการขุดเจาะ และนำเชลแก๊สขึ้นมาใช้ในอเมริกา ซึ่งจะทำให้ธุรกิจถ่านหินประสบปัญหา เพราะเชลแก๊สมีราคาถูกกว่าถ่านหินและสะอาดกว่า ทำให้ความต้องการถ่านหินลดลง

ส่งผลให้ราคาถ่านหินลดลง และอาจต่อเนื่องนาน ผลคือ หุ้นบริษัทผลิตถ่านหินตกลงหนัก เหมือนเป็นธุรกิจตะวันตกดินทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่งเป็นธุรกิจดาวรุ่ง เพราะความกลัวน้ำมันจะ "หมดโลก" และมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้

ผู้ผลิตเทคโนโลยีใหม่ที่ทำลายล้างเทคโนโลยีเก่าสำเร็จ จะเจริญรุ่งเรือง กิจการมีกำไรก้าวกระโดด หลายๆ บริษัทกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่มหึมาในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็มีผู้ผลิตรายอื่นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ขึ้น เพื่อทำลายเทคโนโลยีที่เคยเป็นผู้ชนะ

ผลที่ตามมา คือ บริษัทที่รุ่งเรืองตกต่ำลงมากมาย บางทีแทบจะล้มละลาย ดังนั้น ชัยชนะของผู้ผลิตเทคโนโลยีจึงไม่แน่นอนมีขึ้นมีลง บางทีเร็วมาก คนที่มักได้ประโยชน์อยู่เสมอจากการพัฒนาของเทคโนโลยีก็คือ "ผู้ใช้" ที่จะนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงาน ทั้งการลดต้นทุน หรือพัฒนาคุณภาพของสินค้า หรือบริการของตนเอง

ผู้ใช้เทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์มากสุดกลุ่มหนึ่งคือ ผู้ให้บริการที่ต้องใช้คนจำนวนมากอาจรวมถึงกิจการบริการทางการเงิน เช่น ธนาคาร บริษัทการเงินที่ให้บริการแก่ผู้บริโภคจำนวนล้านๆ ราย หรือกิจการค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น ซุปเปอร์สโตร์อย่างวอลมาร์ท ที่ต้องให้บริการคนทั้งประเทศและใช้พนักงานนับล้านคน เป็นต้น

ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้กิจการเหล่านี้ ลดต้นทุนการดำเนินงานลงได้มหาศาล และให้บริการที่มีคุณภาพมากขึ้น ทำให้ผลประกอบการดีขึ้นโดยไม่ต้องเสี่ยงอะไรเลย ตัวอย่างธุรกิจการเงินที่เห็น คือ ระบบ ATM และอินเทอร์เน็ต หรือโฟนแบงกิ้ง ที่ลดภาระงานของพนักงานจำนวนมาก ในด้านของพวกร้านค้าปลีกสมัยใหม่ คือ ระบบบาร์โค้ดที่ลดภาระงาน และเพิ่มความรวดเร็วให้แก่การคิดเงินของแคชเชียร์

ระบบการ "ให้ลูกค้าคิดเงินเอง" ที่กำลังนิยมมากขึ้นในประเทศพัฒนาแล้วน่าจะเป็น "คลื่น" ลูกต่อไปที่จะช่วยลดต้นทุนผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่

ประเด็นของเทคโนโลยี เป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าจะไปทางไหน การวิเคราะห์อุตสาหกรรม ก็พอจะบอกได้เหมือนกันว่า บริษัทหรือหุ้นที่ดูอยู่ มีโอกาสถูกทำลาย หรือมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เราคงต้องการแบบหลังแม้จะเป็นอย่างนั้น เราก็คงไม่ให้คุณค่ากับมัน แต่ถ้าดีที่สุดคือ ผมอยากได้ธุรกิจที่จะไม่ถูกกระทบโดยเทคโนโลยีมากกว่า

คงเหมือนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ พูดว่า อินเทอร์เน็ตคงไม่ทำให้การซื้อ หรือการเคี้ยวหมากฝรั่งเปลี่ยนไป เขาสบายใจมากกับการถือหุ้นหมากฝรั่งริกรี่ เช่นเดียวกับหุ้นโค้ก ที่ยังไงคนก็ดื่มเหมือนเดิม ไม่ว่าเทคโนโลยีอะไรจะเปลี่ยนไป


บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2556

No comments:

Post a Comment