Saturday, November 9, 2013

ภาษาเปลี่ยนโลก

ผมอยู่มาจนถึงปัจจุบัน 60 ปีเข้าไปแล้ว สิ่งที่รู้สึกว่าเป็น จุดด้อย ที่สำคัญของตนเอง และไม่สามารถปรับขึ้นได้จนเท่ากับหรือใกล้เคียงกับ เจ้าของ คือ ภาษาอังกฤษ

ปัญหาคือในช่วงวัยเด็กและวัยหนุ่มนั้น ผมไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษดีพอ และไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษเป็นวิชาสำคัญมาก และสำคัญยิ่งกว่าวิชาคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ที่คิดว่าเป็นวิชาคนเก่ง ที่ต้องอาศัยตรรกะและความคิดระดับสุดยอด

ภาษาอังกฤษเริ่มสำคัญในตอนที่ผมเริ่มเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ที่ต้องอ่านตำราวิชาการจากต่างประเทศ ความสำคัญเป็นเรื่องการทำความเข้าใจทฤษฎีและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ในกรณีของผมคือเรื่องทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และบริหารธุรกิจ ความสามารถของผมในด้านเหล่านี้เป็นเรื่องการอ่านและการเขียนเท่านั้น ซึ่งยังช้าและด้อยกว่าเจ้าของภาษาอยู่ไม่น้อย

ส่วนภาษาอังกฤษในสาขาความรู้อื่น ๆ และเรื่องทั่วไปนั้น ความสามารถต้องบอกว่าต่ำกว่าเจ้าของภาษามาก ระดับความเร็วในการอ่านนั้นคิดว่าอาจจะทำได้เพียงครึ่งหนึ่งของเจ้าของภาษา ที่มีศักยภาพในระดับเดียวกัน ส่วนการฟังและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดนั้น ความสามารถของผมยิ่งห่างจากเจ้าของภาษาสุดกู่อันเป็นผลจากขาดโอกาสเรียนรู้ช่วงต้นของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะด้านการพูด

ความสำคัญของภาษาอังกฤษ อยู่ที่ว่าเป็นภาษา สากล และเป็นภาษาของประเทศยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ติดต่อกันมาน่าจะเกือบ 200 ปี การติดต่อทางการทูต การค้าและสังคมทั่วโลก ซึ่งรวมถึงระบบอินเทอร์เน็ตต่างใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ เช่นเดียวกับกิจกรรมบันเทิงชั้นนำระดับโลก เช่นภาพยนตร์และละครเวทีต่างก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก

ด้วยเหตุที่โลกของนั้นอยู่ในกระแสของโลกาภิวัตน์ ที่ขอบเขตของดินแดน กำลังลดความสำคัญลงเรื่อยๆ และประชาชนสามารถจะเดินทางหรือติดต่อกับคนอื่นได้ทั่วโลกด้วยต้นทุนต่ำลงมาก ภาษา กลาง ที่ทุกคนต้องใช้จึงสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนก้าวหน้าที่สุดในแต่ละสังคม ภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นภาษาที่คิดว่า จำเป็น อย่างยิ่งยวด และถ้าจะให้ทำนายขั้นนี้คือหากคุณจะเป็นคนชั้นนำอย่างที่เรียกว่า อิลิท ในยุคต่อไป คุณจำเป็นต้องรู้สามารถใช้อังกฤษได้ดีมาก ไม่ใช่แค่ 40-50% ของเจ้าของภาษาอย่างที่ผมเป็น

ทุกวันนี้ ผมรู้สึกว่าอ่านหนังสือดีๆ ซึ่งส่วนมากคือหนังสือภาษาอังกฤษได้ ไม่ทัน กับหนังสือที่ออกใหม่และวางบนแผง ไม่ต้องพูดถึงหนังสือคลาสสิกเก่า ๆ ที่ยังมีอีกมากมายในหัวข้อความรู้ที่สนใจ เหตุผลสำคัญคืออ่านได้ไม่เร็วพอ หนังสือหลายเล่มกองอยู่บนโต๊ะทำงาน และบางเล่มอาจจะถูกอ่านเพียงสั้นๆ แล้วทิ้งไว้เนื่องจากคุณภาพไม่ดีพอ หรือไม่ตรงกับความสนใจจริง ๆ

หนังสือที่ช่วย เปลี่ยนโลก ของผมนั่นคือทำให้ผมรู้จักโลกดีขึ้นมาก เข้าใจชีวิต สังคม และรัฐชาติต่างๆ ในโลกนั้น มักอิงอยู่กับเรื่องของทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน ที่พูดถึงพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมถึงมนุษย์ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ มนุษยชาติ และประวัติศาสตร์ของอารยธรรมและประเทศต่างๆ นั้น ทำให้เห็นวิวัฒนาการของคนและสังคมและรู้ว่าอนาคตน่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

ประวัติศาสตร์ของสงครามและการทำลายล้าง อย่างเช่นเรื่องของสงครามโลก และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนั้น สอนให้ตระหนักเรื่องความเสี่ยงเช่นเดียวกับการเรียนรู้ว่าทำไมฝ่ายหนึ่งจึงชนะและฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ อาจเป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่สิ่งมีชีวิตต่างต้องต่อสู้แข่งขันเพื่อเอาตัวรอด ทั้งหมดจะช่วยให้รู้ว่าอนาคตของประเทศไทยหรือสังคมไทย จะเป็นอย่างไรเพื่อที่ว่าจะได้ตัดสินใจในประเด็นต่างๆ ได้ถูกต้อง

สำหรับผมแล้วการลงทุนเป็นหนึ่งในนั้น และหนังสือดีๆ ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ ส่วนมากมักเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนหนังสือภาษาไทยนั้น หลายเล่มก็เขียนได้ดี อย่างไรก็ตาม หนังสือบางเล่มเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หรือการเมือง บางทีมี ความลำเอียง ทำให้เราไม่ได้ความจริง ที่จะชี้นำอนาคตได้

ความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ดีนั้น คิดว่าน่าจะทำให้ชีวิตของเราได้สัมผัสกับความรื่นรมย์ ระดับโลก เช่น การดูละครเพลงบอร์ดเวย์ ซึ่งต้องอาศัยภาษาอังกฤษที่ดีมาก หรือการชมภาพยนตร์โดยไม่ต้องอ่านซับไตเติ้ลมากนัก คนที่ชอบอ่านวรรณกรรม ความสามารถอ่านภาษาอังกฤษ น่าจะช่วยเปิดโลกให้กว้างขึ้นสำหรับความบันเทิงสุนทรีไม่จำกัดเฉพาะภาษาไทยเท่านั้น จริงอยู่ปัจจุบันนั้นหนังสือแปลแพร่หลายขึ้นมาก แต่คิดว่าการอ่านจากต้นฉบับน่าจะมีอรรถรสกว่าไม่น้อย

การเขียน ฟัง และพูด ภาษาอังกฤษได้ดีนั้น คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การอ่าน โดยเฉพาะคนที่ยังต้องทำงาน ในตำแหน่งที่สูงของทุกองค์กรในปัจจุบันและเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคต ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องการฟัง พูดและเขียนได้อย่างดี จะสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนคนที่ภาษาอังกฤษแย่นั้น แทบไม่มีโอกาสก้าวหน้าอย่างโดดเด่นได้ เหตุผลเพราะเมื่อองค์กรใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกี่ยวข้องกับคนต่างประเทศ ที่ต่างใช้ภาษาอังกฤษติดต่อสื่อสาร

โดยส่วนตัวจากประสบการณ์ทำงานกับองค์กรใหญ่มาหลายแห่ง พบว่าภาษาอังกฤษไม่ดีของตนเอง โดยเฉพาะการฟัง พูด และเขียน นั้น น่าจะเป็นตัวถ่วงความก้าวหน้าในหน้าที่การงานไม่น้อย ทั้งที่เวลานั้นประเทศไทยยังไม่ได้เปิดมากเหมือนวันนี้

การตระหนักความสำคัญของภาษาอังกฤษมานาน เป็นเหตุผลที่ผมส่งลูกเรียนในโรงเรียนอินเตอร์มาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ซึ่งจะทำให้เขาได้ภาษาอังกฤษเท่ากับหรือใกล้เคียงเจ้าของภาษา เป็น การลงทุน ที่สำคัญและใช้เงินมากเมื่อเทียบกับรายได้ในช่วงนั้นเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว ผลของการสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เกือบเหมือนเจ้าของภาษา ทำให้ลูกสามารถเดินทางติดต่อชาวต่างชาติได้อย่างสบายใจ และมีความสุขจากสิ่งบันเทิงระดับโลกโดยไม่มีอุปสรรคด้านภาษา

ลูกผมไปเรียนในสถาบันชั้นนำระดับโลกได้ ในขณะที่ผมต้องเรียนในสถาบันการศึกษาธรรมดามากๆ ในสหรัฐ ส่วนหนึ่งเพราะภาษาอังกฤษไม่ดี เขามีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติหลายชาติขณะศึกษาในกรุงลอนดอน หลังจากจบการศึกษาแล้วยังติดต่อกันตลอดเวลา และเมื่อมีโอกาสมาเยี่ยมเยียนกัน เมื่อคนหนึ่งแต่งงานเพื่อนๆ ก็ยังไปร่วมพิธีเหมือนกับเพื่อนที่อยู่ประเทศเดียวกัน

ผมคิดว่าภาษาอังกฤษนั้น เปลี่ยนโลก ของลูกจากสิ่งที่ผมทำ ภาษาอังกฤษ เปลี่ยนโลก ของผมแต่ก็ยังไปได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากไม่มีโอกาสยามเด็ก ผม ดิ้นรน ไปเรียนต่างประเทศ หลังทำงานได้ระยะหนึ่งแล้ว โดยมีเหตุผลลึกจริงๆ อยู่ที่การได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมของคนพูดภาษาอังกฤษ สี่ปีของการศึกษานั้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ได้รับคือความสามารถอ่านและศึกษาเรื่องการเงินและการลงทุนแบบ VI ในภายหลัง เช่นเดียวกัน

ผมยังสามารถอ่านและเสพสิ่งอื่นๆ ที่สำคัญและเป็นความบันเทิงของชีวิตแม้ว่าจะไม่เต็มร้อย สำหรับคนที่ยังไม่เก่งภาษาอังกฤษ การ ลงทุน เรียนรู้มันอย่างทุ่มเทนั้นจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่า ยิ่งเรียนอายุน้อยก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น


บทความนี้ลงในกรุงเทพธุรกิจออนไลน์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2556

No comments:

Post a Comment